รีวิว BLACKLIGHT

Blacklight บอกเล่าเรื่องราวของสายลับที่ทำงานให้กับ FBI อย่างลับ ๆ แต่เจ้าตัวเริ่มอายุมากขึ้น และอยากใช้เวลากับลูกและหลานสาว เขาจึงอยากจะวางมือ แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น เมื่อหัวหน้า FBI ไม่ยอมให้เขาวางมือ แถมยังจับครอบครัวเขาเป็นตัวประกัน (โดนลักพาตัวอีกแล้ว) แถมเขายังล่วงรู้ถึงความลับอันดำมืดขององค์กรอีกด้วย ไม่ต้องดูตัวอย่าง ไม่ต้องอ่านเนื้อเรื่อง เห็นแค่ปกหนังกับนักแสดงนำอย่าง Liam Neeson ก็คงจะเดากันได้แทบจะทันทีเลยว่านี่คือหนังแอ็คชัน(อีกแล้ว) แต่ปัญหาคือมันไม่ได้แอ็คชันเยอะเหมือนหนังก่อนหน้านี้ของเฮียแกแล้วน่ะสิ ด้วยอายุและสังขารที่จะมาวิ่งไล่เตะต่อยตัวร้ายไม่ค่อยจะไหวเท่าไหร่ บทเลยไปเน้นทริลเลอร์ดราม่าเสียมากกว่า ฉากแอ็คชันแบบเต็ม ๆ ของป๋าเลียมนับได้ 1 ฉากถ้วน แถมมันไม่ใช่จุดขายอะไรของหนังเลยด้วย มันดูธรรมดามาก ๆ ดูหนัง 

รีวิวหนังใหม่ BLACKLIGHT

BLACKLIGHT เป็นเรื่องราวของ ทราวิส บล็อก (เลียม นีสัน) เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ชีวิตทำงานที่ผ่านมาเขาต้องอยู่หลังเงามืด ไร้ตัวตน คอยช่วยเหลือเหล่าบรรดาสายลับที่ทำงานพลาดและกำลังถูกเปิดโปง จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าหน้าที่บล็อกกลับพบความลับบางอย่างที่เกี่ยวกับภารกิจที่มีตัวเขาเป็นตัวแปรสำคัญและกำลังส่งผลต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์ ระหว่างที่เขาสับสนต้องเลือกหน้าที่การงานหรือความถูกต้อง บล็อกพบว่าครอบครัวของเขาหายตัวไป และผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลับกลายเป็นหัวหน้าหน่วยงานที่เขาสังกัด ดูหนังออนไลน์ 

เอาเข้าจริงๆ หนังเรื่องนี้ อุดมไปด้วยวัตถุดิบที่น่าสนใจหลายอย่างเลยนะครับ เริ่มกันที่ฉากการหาเสียงของผู้สมัครคนหนึ่งที่ตีประเด็นเรื่องการทำงานของรัฐ อันนี้ก็น่าสนใจ แต่ก็น่าเสียดายทุกอย่างผ่านไปหลังการตายของเธอ เพราะหนังไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอพูด แต่สนใจประเด็นเรื่องการตายของเธอเสียมากกว่า อีกประเด็น คือ ความคิดอ่านของทราวิส สายลับผู้ทำงานในเงามืดที่ตอนนี้กลายเป็นคุณตาไปเสียแล้ว เขารู้สึกผิดกับการที่ไม่ได้เป็นพ่อที่ดีของลูก และมันคงถึงเวลาเสียทีที่เขาจะกลับไปทำหน้าที่พ่อและตา พล็อตดราม่าที่น่าจะหยิบมาบอกเล่า เบี่ยงประเด็นไปจากความเป็นหนังแอคชันทริลเลอร์ที่เกร่อโลกนี้ แต่พวกเขาก็มิได้นำพา สนใจเล่าเรื่องที่ว่า ชายผู้นี้ต้องการวางมือออกจากวงการ  ดูหนัง 4k 

รีวิวหนังใหม่ BLACKLIGHT

Blacklight โคตรระห่ำ ล้างบางนรก เป็นเรื่องราวของ ทราวิส บล็อค สายลับไร้ตัวตน ผู้ได้รับภารกิจบางอย่างจนได้ค้นพบความลับอันชั่วร้ายของเอฟบีไอ ที่มีชีวิตคนบริสุทธิ์กว่าหลายคนเป็นเดิมพัน เขาจึงต่อต้านและพยายามต่อสู้เพื่อความถูกต้อง แต่กลับวุ่นวายขึ้นเมื่อครอบครัวของเขาถูกดึงเข้ามาเสี่ยงด้วย และอดีตของเขายังตามมาค้ำคออีก เขาจึงต้องปกป้องคนที่เขารัก และเปิดโปงความชั่วร้ายขององค์กรเพื่อล้างมลทินให้ตัวเองต้องยอมรับว่าเลียม นีสัน (Liam Neeson) มาไกลจริง ๆ จากดาราที่เล่นแต่หนังชิงรางวัล ผันตัวมาสู่การเป็นแอ็กชันสตาร์วัยเก๋า หลังจากได้ลองลิ้มชิมลางบทนักบู๊วัยดึกจากภาพยนตร์เรื่อง Taken ก็ดูเหมือนว่า เขาจะติดใจจนกู่ไม่กลับ ฟาดงานแอ็กชันติดต่อกันแทบทุกปีจนเราเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะบู๊ไปถึงเมื่อไหร่และปีนี้นีสันก็พร้อมจะกลับมาวาดลวดลายแอ็กชันกันอีกครั้ง ในบทเอฟบีไอวัยดึกที่ไม่หยุดระห่ำกับ BLACKLIGHT ดูหนังออนไลน์ 4k

รีวิว BLACKLIGHT

เริ่มที่ตัวละครเจ้าหน้าที่บล็อก โดยนีสันนำเสนอในบทคุณตาของหลานสาววัยกระเตาะและตำรวจใหญ่วัยไม้ใกล้ฝั่งในคนเดียวกันได้เป็นอย่างดี ตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็นถึงความเจ็บปวดจากอดีตที่สร้างปมใหญ่ให้ตัวละครของเขาดูเป็นคนอมทุกข์ตลอดเวลา ทั้งสีหน้า แววตา ฉากแอ็กชัน นีสันก็เอาบทนี้ได้อยู่หมัด ซึ่งก็ถือว่าดีงามตามมาตรฐาน เพราะคาแรกเตอร์ในเรื่องนี้ก็ไม่ได้ต่างจากหนังแอ็กชันเรื่องอื่น ๆ ของเขาเท่าไหร่ เราจึงไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรไปกับการแสดงของนีสันมากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาช่วยแบกหนังไว้มากจริง ๆ รีวิวหนังใหม่

รีวิวหนังใหม่ BLACKLIGHT

นี่คือผลงานของผู้กำกับ “มาร์ค วิลเลียมส์” ที่ถือว่าเป็นงานกำกับหนังเรื่องที่ 3 ของเขา หลังจากที่สั่งสมประสบการณ์เป็นโปรดิวเซอร์หนังแอคชั่นมายาวนาน โดยครั้งนี้ถือว่ากลับมาทำงานกับลุงเลียมอีกครั้ง หลังจากผลงานเรื่องก่อนอย่าง Honest Thief ซึ่งเขายังได้ร่วมเขียนบทหนังเรื่องนี้ด้วย โดยต้องยอมรับว่า Blacklight มาพร้อมกับประเด็นที่ขึงขัง สอดแทรกปมการเมืองเอาไว้ได้ค่อนดีน่าสนใจ เพียงแต่ว่าการนำเสนอและเล่าเรื่องของนั้นยังไม่เชียบขาดและไม่น่าสนใจเพียงพอ

รีวิวหนังใหม่ BLACKLIGHT

เมื่อมองทางด้านเนื้อหา ตอนต้นเรื่องหนังเปิดปมปริศนาได้อย่างน่าติดตามแถมยังมีซีนที่ได้โชว์ความเทพของเจ้าหน้าที่บล็อกให้เราได้ว้าวด้วย แต่ทว่าความว้าวก็มีแค่นั้นแหละ หลังจากนั้นหนังกลับลดขนาดตัวเองลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นละครหลังข่าวที่บังเอิญได้ทำเป็นหนังโรง เพียงแค่เปลี่ยนจากตอนย่อย ๆ มาเป็นซีเควนซ์ที่รวบรัดอัดมาในหนังเรื่องเดียว นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่รู้สึกอินกับอะไรเลย จะดราม่าก็ไม่ผ่าน จะแอ็กชันก็ไม่สุด แถมจุดที่ควรให้น้ำหนักอย่างฉากย้อนความหลังที่เกี่ยวพันถึงปมใหญ่ในเรื่องนั้น หนังก็ดันเล่นง่ายโดยให้ตัวละครมานั่งเล่าทื่อ ๆ ซะงั้น ซึ่งเป็นอีกจุดที่เราค่อนข้างเสียดายเป็นอย่างมาก

ปัญหาหลักๆ ของ Blacklight คือการเล่าเรื่องค่อนข้างขาดเสน่ห์และใส่รายละเอียดเยอะเกินไป หนังเสียเวลากับการปูเรื่องไปค่อนข้างนานเกือบเป็นชั่วโมง กว่าจะจุดเครื่องติดและเร่งเครื่องสู่โหมดบู๊สนุกที่ควรจะเป็น แต่จังหวะที่ช้าเกินไปของนั้นก็เกือบจะทำลายหนังทั้งเรื่องไปอย่างน่าเสียดาย เอาเข้าจริงๆ ไคลแมกซ์ช่วงท้ายของเรื่องก็เต็มไปด้วยสูตรสำเร็จเดิมๆ ที่ไร้ความแปลกใหม่ และแทบไม่มีอะไรให้น่าจดใจ กลายเป็นบทสรุปที่รวบรัดและดูลวกๆ ไปสักหน่อยด้วยเลียม นีสัน ก็ยังคงเป็นลุงเลียมขาบู๊ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่เห็นได้ชัดว่าหนังเรื่องนี้ลุงก็โรยราและดูเหนื่อยอยู่ไม่น้อย เสน่ห์ของตัวละครที่เขาได้รับเกือบจะแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ไม่อยู่ เนื่องจากเป็นคาแรกเตอร์ที่ดูเหมือนจะมีอะไรที่น่าสนใจ แต่หนังกลับไม่สามารถขับอินเนอร์นั้นๆ ออกมาได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายก็กลายเป็นแค่คาแรกเตอร์ที่ดาดดื่นธรรมดาๆ ที่ไร้ความน่าค้นหาและไร้เสน่ห์ที่ชวนทำให้ต้องลุ้นติดตามไปด้วย

หนังพยายามใส่คาแรกเตอร์ความเป็นคนระเบียบจัดของตัวละครทราวิส และเหมือนจะพยายามให้เขาดูมีปัญหาทางจิต งานภาพเลยมี ‘ช็อตภาพกระตุก’ แทรกอยู่ในหนังแทบทั้งเรื่อง จนนั่งดูก็ขำกันเองว่าจะใช้ไปเพื่ออะไร ถ้าจะบอกว่าตัวละครมีปัญหาก็น่าจะใช้แค่บางช่วงที่ต้องการเล่าถึงบุคลิกของตัวละครนั้นๆ นี่โผล่กระจายเต็มเรื่อง จนเหมือนคนดูเองที่เป็นคนมีปัญหา พล็อตของสายลับที่เปิดโปงเอาคืนต่อองค์กรของตนนั้นก็มีการสร้างกันอยู่มากมาย จนไม่มีอะไรจะใหม่หรือน่าสนใจในสายตาคนดูอีกแล้ว และเหมือน เลียม นีสัน จะหางานแนวอื่นของตัวไม่เจอ จึงเฝ้าวนเวียนอยู่กับเส้นทางเดิมๆ ที่บางครั้งก็ได้บท/ผู้กำกับ/การตัดต่อ ที่ดีบ้าง แย่บ้าง ทำให้ผู้ชมไม่เจออะไรที่แปลกใหม่จากผู้ชายคนนี้อีกเลย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องเศร้าเช่นกัน

ทั้งตัวอย่างและคำโปรยในโปสเตอร์ ต่างหลอกเราว่า BLACKLIGHT จะเป็นหนังแอ็กชันที่มันเต็มสูบ แต่ความจริงแล้วหนังกลับอุดมไปด้วยซีนที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใส่มาทำไม หาความสำคัญก็ไม่มี หาความระทึกก็ไม่เจอ แถมหนังยังบียอนด์ไปกว่านั้นด้วยการอุดมไปด้วยตัวละครที่โง่เขลา แม้แต่ตัวเอกอย่างเจ้าหน้าที่บล็อกผู้มีไหวพริบปฏิภาณก็ยังติดความเขลาจากตัวละครตัวอื่นมาด้วยซึ่งความเก่งกาจของผู้สร้างยังไม่จบแค่นั้น พวกเขาสามารถสร้างหนังแอ็กชันที่ให้อารมณ์แบนราบออกมาได้ ถึงขนาดที่ว่าจังหวะเร้าอารมณ์ของเพลงประกอบในฉากแอ็กชันก็ยังชวนเราง่วงจนเกือบจะหลับเลยล่ะ แต่อนิจจา ผู้ชมคนอื่น ๆ รอบตัวเราน่ะ หลับไปเรียบร้อยแล้ว

อย่างที่บอกว่า Blacklight มีประเด็นสอดแทรกทางการเมืองที่ค่อนข้างน่าสนใจไม่เบา เพียงแต่ว่าไม่สามารถขับเสน่ห์ออกมาได้เช่นกัน ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่ราบเรียบเกินไป หนังเล่าผ่านไปเกือบจะชั่วโมงยังค่อนข้างน่าเบื่อและดูไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน ต้องรอกว่าไฟจะสปาร์กติดขึ้น จึงสามารถช่วยยกระดับความสนุกตามท้องเรื่องได้ขึ้นนิดหน่อย แต่โดยภาพรวมก็ถือว่าการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้น่าผิดหวังไปไม่น้อย และน่าเสียดายประเด็นเข้มข้นที่ใส่เข้ามา ที่ถือว่าเสียดสีสังคมได้ไม่น้อยเลยและที่เจ็บปวดกว่านั้นคือหนังทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง ในขณะที่เราคิดว่าหนังกำลังจะปูเข้าสู่ไคลแมกซ์ที่จะทำให้เราหายง่วงได้ หนังกลับหักมุมโดยให้ปมทุกอย่างถูกคลี่คลายง่าย ๆ และไม่มีไคล์แมกซ์ซะงั้น

 

 BLACKLIGHT

ความดีงามของเรื่องนี้อาจมีเพียงแค่เลียม นีสันบังเอิญเผลอตัวมาเล่น และงานภาพที่สวยงามจนอยากออกปากชม โดยซีนภาพกว้างนั้นถ่ายได้สวยเหมือนกับงานมิวสิกวิดีโอ จนรู้ได้ทันทีว่าผู้กำกับภาพของเรื่องนี้บรรจงจัดวางมุมกล้องอย่างดี ซึ่งทำให้เรายังพอเพลิดเพลินไปกับงานภาพของหนังได้สำหรับแฟน ‘ป๋าเลียม’ หรือผู้ชมที่อยากลองดู ก็ให้คิดซะว่า BLACKLIGHT เป็นหนังที่นำเสนอแบบภาพยนตรฺแอ็กชันยุค 80s ก็ถือว่าไม่เลวนะ เพราะหนังมีองค์ประกอบที่ค่อนข้างเหมาะ ทั้งพระเอกวัยดึกที่เตรียมจะวางมือ ตัวโกงสุดเก๋าที่รู้จักตัวเอกเป็นอย่างดี รวมทั้งตัวประกอบที่ทำให้เราแอบตลกในความโง่เขลา จนชวนให้แอบขำเบา ๆ ที่บทแบบนี้ยังมีในปี 2022 ได้

ด้วยจังหวะเช่นนี้จึงพลอยทำให้รัศมีของนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ถูกกลืนหายไปอย่างน่าเสียดายด้วย ไม่ว่าจะเป็น “เอ็มมี เรเวอร์-แลมพ์แมน”, “เทเลอร์ จอห์น-สมิธ”, “ไอแดน ควินน์” ที่กลายเป็นแค่ตัวละครประกอบที่ใส่เข้ามาให้เต็ม โดยที่หนังค่อนข้างทิ้งขว้างคาแรกเตอร์พวกนี้ ทั้งที่สำคัญแต่เหมือนจะไม่สำคัญสักเท่าไหร่ จุดนี้อีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นสไตล์หนังเกรดบีไปแล้วเอาเป็นว่า หนังบู๊เรื่องนี้ของลุงเลียม

ที่ยังถูกถือว่ามาตามสูตรสำเร็จเดิมๆ แต่ค่อนข้างทำให้รู้สึกน่าผิดหวังไปสักหน่อย เพราะจังหวะและการเล่าเรื่องที่เรื่อยเปื่อย ขาดเสน่ห์ทีชวนติดตาม อีกทั้งยังปูเรื่องได้ช้าเนิบไปสักหน่อย สุดท้ายก็เข้าสูตรเดิมๆ ของการบูู๊ไล่ล่าแบบมันส์ แต่ก็มันส์ไม่สุดสักทางอยู่ดี แต่หากว่าใครที่ชอบดูหนังบู๊ของลุงเลียมก็อาจจะต้องตามเก็บเรื่องนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องที่สนุกที่สุด แต่เสน่ห์ของลุงก็ยังเปล่งประกายอยู่ไม่เลือนหาย

จริง ๆ หนังค่อนข้างน่าเสียดายในแง่ของภาพรวม ทั้งตอนต้นที่เปิดออกมายิ่งใหญ่ แต่กลับเบาลงไปจนถึงช่วงท้ายที่แผ่วซะเหมือนถูกตัดจบ อีกทั้งบทภาพยนตร์ก็ไม่มีความน่าติดตาม การนำเสนอในแต่ละซีนดูทื่อ ซะจนเหมือนหนังเกรด B ที่มีเลียม นีสันแปะป้ายอย่างไรอย่างนั้นแต่หากจะมองอีกแง่ หนังเรื่องนี้อาจจัดอยู่ในหมวดหนังคัลต์ชั้นครูเลยก็ได้ ทั้งบทบาทที่ชวนเราขำโดยไม่ตั้งใจ หรือแอ็กติงที่แข็งเป็นไม้ รวมทั้งฉากแอ็กชันที่ชวนหาวอยู่เรื่อยไป ซึ่งถ้าผู้สร้างต้องการทำหนังทดลองในหัวข้อ ‘ทำหนังแอ็กชันอย่างไรให้คนดูหลับ’ ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะ

ตามมาด้วยประเด็นปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวละครของป๋าเลียมที่บอกมีปัญหาทางจิต เจ้าระเบียบ ย้ำคิดย้ำทำ เราเห็นอาการแบบนั้นของตัวละครนี้มาตลอดทั้งเรื่อง แต่เหมือหลายจุดหนังจะลืมไปว่าตัวละครมีอาการนี้ และไม่ได้หยิบยกมันมาเป็นปัญหาในการดำเนินเรื่องสักเท่าไหร่เลย ยิ่งในฉากแอ็คชันเรียกได้ว่าหายไปเลย ไม่รู้จะปูมาทำไม เหมือนไม่ได้สำคัญต่อการดำเนินเรื่องด้วยซ้ำ แถมบทจะจบก็จบง่าย ๆ ดื้อ ๆ ซะงั้น

ซึ่งเอาจริง ๆ แต่ละตัวละครก็ดูไม่มีเสน่ห์เอาซะเลย ไม่ว่าจะฝั่งดี ฝั่งร้าย หรือแม้กระทั่งตัวเอกของป๋าเลียมก็ดูแล้วไม่ได้อยากเอาใจช่วย แต่ดูแล้วสงสาร เหนื่อยแทน เอาลุงอายุจะ 70 มาแอ็คชันมันก็จะออกมาเนือย ๆ แบบนี้แหละ ฉากวิ่งไล่เลิกพูดไปได้เลย แค่เตะต่อยได้ไม่กี่วิก็บุญแล้ว