รีวิว Love Like The Falling Petals
อาจเพราะดูไปบ่นไปชอบหนังดราม่าเมื่อมีมามักจะไม่ค่อยพลาด และดูไปบ่นไปชอบหนังญี่ปุ่นที่ไม่ว่าเทคโนโลยีหรือการก้าวไปข้างหน้าของโลกจะเร็วและไปไกลขนาดไหน หนังญี่ปุ่นก็ยังคล้ายกับหยุดเวลาไว้จนกลายเป็นเอกลักษณ์ และมันทำให้เป็นเสน่ห์ที่ยิ่งดูยิ่งถลำลึก ยิ่งค้นพบยิ่งหลงรักจนไม่ว่าจะมีความบันเทิงจากไหนเข้ามาเป็นตัวเลือกมากมาย หนังญี่ปุ่นก็จะยังคงดึงดูดใจเสมอแม้อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกแรก แต่ถ้ามีงานที่น่าสนใจและเป็นแนวที่ใช่ก็พร้อมสละทุกอย่างมาเพื่อดูความเรียบ เงียบ นิ่ง ดูเอื่อยแต่ดึงดูด ภาพและเพลงบรรยายความรู้สึก และแน่นอนความหมายที่อยู่หลังสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาให้ผู้ชมได้ใช้หัวใจสัมผัส ดูหนัง
ฮารุโตะ (รับบทโดย เคนโตะ นากาจิมะ) ชายหนุ่มที่มีความฝันอยากเป็นช่างภาพ และเชื่อว่าตัวเองมีพรสวรรค์ แต่แล้วเขากลับท้อถอยต่อการทำงานในอาชีพนี้จนหยุดพักไป เขาได้มาเจอกับ มิซากิ (รับบทโดย โฮโนกะ มัตสึโมโตะ) ช่างตัดผมมือใหม่ที่ได้ฮารุโตะมาเป็นลูกค้าคนแรก และเขาก็ตกหลุมรักเธอในทันทีจนกลายมาเป็นลูกค้าประจำที่แอบรักเธออยู่ในใจ แต่วันที่เขารวบรวมความกล้าจะชวนเธอออกเดต กลับกลายเป็นว่ามิซากิเกิดพลาดตัดโดนติ่งหูของเขาไป และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความผูกพันของทั้งคู่ที่มีปลายทางแสนเศร้ารออยู่ ดูหนังออนไลน์
และถ้าว่ากันถึงความรู้สึก หนังญี่ป่นที่ค่อยๆให้ผู้ชมซึมซับความรู้สึกเพื่อก่อเกิดอารมณ์ ด้วยการค่อยๆบอกกับผู้ชมด้วยความเงียบแต่รู้สึกได้จนเหมือนเป็นของถนัด การจัดการความรูสึกผู้ชมจึงคล้ายกับเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนบทหนังโดยมีจุดประสงค์นั้น จุดประสงค์ที่จะดึงให้ผู้ชมรู้สึกไปกับตัวละครเพื่อที่จะมีอารมณ์ร่วม แล้วหลังจากนั้นเมื่อความรู้สึกของตัวละครกับผู้ชมได้หลอมรวมกันจนสนิท อารมณ์ของผู้ชมก็ไม่ตางจากตัวละครที่ภาพที่ปรากฎต่อสายตาสามารถบอกความในอะไรบางอย่างได้ เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่จัดการกับความรู้สึกผู้ชมเต็มที่ จนผู้ชมรู้สึกตามก็ล่อหลอกด้วยความรู้สึกที่สวยงามแต่ลงท้ายด้วยความรู้สึกอีกครั้งด้วยการขยี้ สุดท้ายกลับรู้สึกดีที่เห็นเป็นเช่นนั้น Love Like The Falling Petals ดูหนัง 4k
นี่เป็นหนังที่สร้างจากนิยาย “Sakura no Yona Boku no Koibito” ของนักเขียน Keisuke Uyama วางขายครั้งแรก 17 กุมภาพันธ์ 2017 โดยสำนักพิมพ์ Shueisha (บ้านเราไม่มีแปลไทย) และได้รับความนิยมอย่างสูงจนมียอดขาย 6 แสนเล่มเป็นตัวการันตี แล้วก็ถูกนำมาสร้างโดยทุน Netflix ได้ผู้กำกับ โยชิฮิโร่ ฟุกะกาว่า ที่มีผลงานดังหน่อยอย่าง Sagrada Reset (เมืองมหัศจรรย์ คนเปลี่ยนเวลา) เป็นหนังรักดราม่าที่มีเรื่องราวเกี่ยวพลังพิเศษ ดูหนังออนไลน์ 4k
มาในเรื่องนี้ก็ยังเป็นแนวรักดราม่าที่แม้เรื่องราวอาจจะไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ก็ยังพยายามมีพล็อตที่พลิกเรื่องราวให้ดูพิเศษกว่าหนังรักดราม่าโดยทั่วไปแฝงอยู่เหมือนกัน ซึ่งเนื้อเรื่องจะแบ่งเป็นครึ่งแรกกับครึ่งหลังที่เรียกว่าคนละแนวกันเลย ระหว่างรักใสๆ กับดราม่าเศร้ารันทดตับพัง ซึ่งแทบจะเป็นสูตรสำเร็จของทางญี่ปุ่นที่ขยันทำกันออกมาบ่อยเหลือเกิน รีวิวหนังใหม่
รีวิว Love Like The Falling Petals
ความรักที่เกิดจากหยดเลือดและติ่งหู นั่นคือจุดเริ่มต้นของความรักระหว่างฮารุโตะ อาซากุระ (เคนโตะ นากาจิม่า) กับช่างตัดผมสาวมิซากิ อาริอาเกะ (โฮโนกะ มัตสึโมโตะ) ที่ฮารุโตะโกหกแบบตามน้ำว่าเขาคือช่างภาพมือใหม่และมิซากิก็เชื่อตามนั้น จนเมื่อกรรไกรจากมือมิซากิไปตัดใส่ติ่งหูของฮารุโตะโดยอุบัติเหตุ จุดเริ่มต้นก็มาจากตรงนั้นเมื่อฮารุโตะขอมิซากิออกเดต แต่แล้วเมื่อทั้งสองเดตกันจริงและฮารุโตะตัดสินใจสารภาพกับมิซากิว่าเขาไม่ใช่ช่างภาพ แต่เขากำลังทำอะไรเรื่อยเปื่อยเพื่อหนีความจริงที่เขาไม่สามารถรับมือกับความยากในการตามความฝันที่จะเป็นช่างภาพ มิซากิโกรธแต่ไม่ได้โกรธเพราะถูกโกหกแต่โกรธเพราะชายที่ยืนต่อหน้าคือคนที่ไม่ยอมสู้เพื่อฝันของตนเอง
ฮิโรโตะเจอมิซากิโดยบังเอิญที่ร้านตัดผม ซึ่งมิซากิได้เผลอไปตัดติ่งหูของฮิโรโตะเข้าและฮิโรโตะตัดสินใจขอมิซากิออกเดต ก่อนเขาจะบอกความจริงกับมิซากิว่า เขาโกหกเรื่องเป็นช่างถ่ายรูป ในครั้งแรก มิซากิโกรธเขา แต่ก็ยังให้กำลังใจจนฮิโรโตะตัดสินใจที่จะถ่ายรูปเพื่อคนที่ตัวเองรัก และฮิโรโตะตั้งใจเดินตามทางฝัน
วันหนึ่ง มิซากิตัดสินใจบอกเลิกฮิโรโตะและฮิโรโตะรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเองและเศร้าเสียใจมาก แต่สุดท้าย ฮิโรโตะมารู้จากพี่ชายของมิซากิว่า เธอไม่สบาย ฮิโรโตะขอร้องจนได้โชว์ภาพในนิทรรศการ และทั้งสองพบกัน แต่ฮิโรโตะจำมิซากิไม่ได้ ก่อนเขาจะมารู้ทีหลังว่า ยายแก่คนนั้นคือมิซากิ
เมื่อเป็นเช่นนั้นฮารุโตะจึงบอกกับมิซากิว่าจะกลับสู่เส้นทางด้วยความอดทนและจะติดต่อกลับมา แล้วก็เป็นเช่นนั้นเมื่อฮารุโตะกลับไปเริ่มต้นที่เดิมอีกครั้งด้วยความอดทันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของงานที่จะพาเขาไปสู่ความฝัน การสานต่อกับมิซากิจึงเริ่มอีกครั้งและคราวนี้เหมือนไม่มีอุปสรรคใดนอกจากทาคาชิ (เคนโตะ นากายาม่า) พี่ชายของมิซากิที่หวงน้องสาวเพียงคนเดียว แต่กลับมีพี่สะใภ้อายาโนะ (ยูกิ ซากุราอิ) ที่คอยสนับสนุนความรักของมิซากิ และเมื่อถึงตอนนี้เรื่องก็ออกมาสวยงามน่ารัก เมื่อคนสองคนสมัครใจรักกันที่อาจมีบ้างที่มีอุปสรรคกับพี่ชายฝ่ายหญิง แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าที่น้องเขยต้องเอาชนะใจพี่ชาย แต่เรื่องกลับพลิกผัน
หนังเรื่องนี้ยาว 2 ชั่วโมง 9 นาที ใน 40 นาทีแรกตัวเรื่องจะเป็นแนวรักใสๆ ปนตลกขำๆ กับจุดเริ่มต้นของเรื่องที่พิลึกหน่อยเมื่อนางเอกตัดติ่งหูพระเอกจนขาด แล้วก็ต้องกลายมาเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ซึ่งตัวพระเอกที่โดนตัดติ่งหูไปเขากลับรู้สึกเหมือนโชคดีที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดไปออกเดตกับเธอได้ เนื้อเรื่องสนุกไปกับการที่ได้เห็นคนเปิ่นๆ น่ารักสองคนมาเจอกัน เพราะตัวพระเอกเองก็กำลังหลงทางในชีวิตอยู่หลังจากออกจากงานในสตูดิโอถ่ายภาพที่เขาใฝ่ฝันอยากเป็นช่างภาพ กลายมาเป็นคนทำงานทั่วไปใช้ชีวิตไปวันๆ
ส่วนในหนัง มีช่วงหลังจากที่ทั้งคู่รักกันแล้ว และมิซากิรู้ตัวแล้วว่า ตัวเองเป็นโรคนี้ มิซากิมาหาฮิโรโตะที่บ้านและมีอะไรกัน ก่อนที่จะไม่ติดต่อหาฮิโรโตะอีก มิซากิติดต่อฮิโรโตะมาอีกครั้ง และขอให้หมอร่วมแสดง แกล้งเป็นแฟนของเธอ เพื่อขอเลิกกัน ซึ่งฮิโรโตะก็เศร้าและเสียสูญมาก พี่ชายมิซากิพามิซากิไปหาหมอแต่ถูกหลอก และมิซากิขอให้พี่สะใภ้พาไปเห็นฮิโรโตะ และในไม่ช้า พี่ชายมิซากิตัดสินใจไปบอกฮิโรโตะ ซึ่งฮิโรโตะมาหามิซากิ แต่ไม่เจอกัน เพราะมิซากิไม่อยากพบฮิโรโตะ ซึ่งทั้งคู่ก็ร้องไห้ภายใต้ประตูกั้นระหว่างทั้งคู่ และสุดท้ายมิซากิมาดูงานนิทรรศการรูปภาพของฮิโรโตะ
ส่วนนางเอกเป็นช่างตัดผมโก๊ะๆ นิสัยร่างเริงอารมณ์ดีที่เอาจริงๆ ใครเห็นก็ต้องรัก ไม่แปลกที่พระเอกจะปิ๊งเธอเข้าในวันแรกที่เจอกันทันที ตัวหนังทำให้เราเอนจอยไปกับการพูดคุย การออกเดทของทั้งคู่ที่มีเรื่องน่ารักๆ ปนตลกขำนิดๆ แล้วก็ช่วยผลักดันไฟในการใช้ชีวิตตามฝันของพระเอกให้กลับมาอีกครั้งด้วย นักแสดงทั้งคู่ก็เล่นได้อย่างน่ารักใสๆ มีเสน่ห์มาก ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรักแรกของทั้งคู่ได้ดี งานภาพสวย ดนตรีประกอบเพราะ เป็นช่วงที่ดูแล้วสนุกมีความสุข จนแอบอินตามไปกับเรื่องมาก ก่อนที่เรื่องราวจะตั้งใจพลิกหักอารมณ์กันทันทีหลังจากผ่าน 40 นาทีแรกของเรื่องไป
เมื่อวันหนึ่งมิซากิป่วยด้วยโรคประหลาดที่จะทำให้เธอแก่ก่อนวัย นั่นคือสังขารของมิซากิจะร่วงโรยอย่างรวดเร็วและเมื่อรู้ตัวว่าจะเป็นหญิงสาวที่น่ารักได้อีกไม่นาน มิซากิจึงใช้เวลาที่เหลือมีความสุขกับความรักกับฮารุโตะ เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวความสุขไว้ก่อนที่เธอจะหายไปจากชีวิตฮารุโตะด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการให้เขามาเห็นสภาพการป่วยของเธอ และหลังจากนั้นทุกอย่างก็ไม่เคยเข้าข้างมิซากิอีกเลยเมื่อฮารุโตะเองก็ต้องเดินต่อไปตามเส้นทาง แต่กลายมาเป็นพี่ชายทาคาชิที่ต้องดูแลน้องสาวเพียงคนเดียวที่สังขารโรยรา แต่อย่างน้อยยังมีพี่อายาโนะที่ยังคอยอยู่ข้างๆ แต่ทุกอย่างก็กินแรงเหลือประมาณเมื่ออาการป่วยของมิซากิแย่ลงสิ่งที่ต้องตั้งรับอย่างหนักหน่วงคือแรงกาย แรงใจ และแรงเงิน
หนังตั้งใจตัดอารมณ์ช่วงแรกไปในทันทีเมื่อนางเอกจู่ๆ ก็ป่วยร่างกายทรุดโทรม ซึ่งตัวเรื่องในช่วงแรกมีแอบใบ้ไว้นิดๆ เรื่องผมหงอกของนางเอกที่มีมากกว่าปกติ แต่บทให้นางเอกกลายเป็น “โรคแก่ก่อนวัย” ซึ่งจริงๆ จะแสดงอาการมาต่อเนื่องอย่างรุนแรงมากกว่าในเรื่อง คือเห็นตั้งๆ แต่เด็กๆ เลย แต่ในเรื่องนี้เอามาปรับใหม่เป็นโรค fast forward syndrome ที่อัตราเร่งแก่ก่อนวัยปุ๊บปั๊บทันทีในเวลาไม่ถึงปี (ตรงนี้เท่าที่ค้นข้อมูลดูไม่พบเจอว่ามีจริง) ตัวเรื่องใช้อาการเร่งของนางเอกตรงนี้มาผูกกับช่วงฤดูใบไม้ผลิที่พระเอกชวนเธอมาดูซากุระในปีต่อๆ มาจากเดทครั้งแรกในความทรงจำ
ถึงที่สุดความรักก็ไม่เคยปราณีเมื่อความรักไม่สนเวลาและสังขารคน ความคิดถึงที่เกาะกินหัวใจของมิซากิที่วันนี้กลายเป็นหญิงชราก็ถูกพี่ชายทาคาชิค้นพบ และนำความคิดถึงนั้นไปสารภาพกับอารุโตะเพื่อเยียวยาหัวใจในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอ และจากนั้นการมาพบกันโดยไม่ได้เห็นหน้าก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ฮารุโตะได้ถ่ายภาพเพื่อมิซากิ และวันนี้ฮารุโตะคือช่างภาพมืออาชีพที่มีการจัดแสดงภาพถ่ายตามสัญญา สิ่งที่เขาต้องการคือการพบหน้ามิซากิอีกครั้งและมิซากิเองก็ต้องการพบหน้าเขาอีกสักครั้งที่อาจเป็นครั้งสุดท้าย จวบจนเมื่อทั้งสองได้เจอกันจริงๆอารุโตะกลับจำมิซากิไม่ได้ จึงพาเรื่องราวขอการล่มสลายและการลุกขึ้นยืนได้ในท้ายที่สุดที่ถึงตรงนี้น้ำตามีเท่าไหร่อาจไม่พอ
แต่ในปีต่อไปจะไม่มีเธอมาด้วยอีกแล้วตามชื่อเรื่อง แล้วก็ทำให้เรื่องราวกลายเป็นแนวเศร้าหนักหน่วงแบบสุดๆ แบบชนิดที่ว่าจากที่เราเห็นนางเอกน่ารักๆ ในช่วงแรก ในเวลาต่อมาจะแทบไม่ได้เห็นเธออีกเลย แม้ในรูปร่างที่แก่ลงก็เห็นน้อยมาก เพราะจากนี้ไปแทบทั้งเรื่องเธอจะใส่ฮู้ดปิดคลุมหัวกับเสื้อผ้าปิดคลุมทั้งตัวแม้แต่มือเหี่ยวๆ ก็ยังแทบไม่ได้เห็นเลย แถมยังพยายามใช้มุมกล้องบังตัวนางเอกไว้อยู่เรื่อยๆ ด้วย ซึ่งก็เข้าใจว่าตัวผู้กำกับต้องการสื่อถึงตัวละครที่เป็นโรคนี้ว่าไม่อยากพบเจอหรือให้ใครเห็นร่างกายอีกต่อไป และอีกเหตุผลคือตั้งใจให้คนดูรู้สึกอิมแพ็คสะเทือนใจกับการได้เห็นนางเอกในตอนท้ายด้วย
ซึ่งตรงนี้ทำให้บทของเธอต้องหักดิบตัดขาดจากพระเอกในทันทีโดยที่โกหกไม่บอกความจริงกับเขาว่าเธอป่วย จนเขาแทบกลายเป็นคนบ้า ความฝันที่เป็นช่างภาพกำลังดำเนินมาดีๆ ก็แทบล่มสลายหมดไฟในการทำงานลง รวมถึงตัวครอบครัวนางเอกที่มีพี่ชายกับพี่สะใภ้กำลังจะแต่งงานกันก็ต้องมาทนทุกข์ไปกับการพยายามรักษาน้องสาวด้วย จนกลายเป็นความร้าวฉานเพิ่มในครอบครัวของเธอมากขึ้นไปอีก
Love Like The Falling Petals
อย่างที่เกริ่นไว้คือบทหนังเลือกเล่นกับความรู้สึกที่อาจจะเรียกว่าล้อเล่นกับความรู้สึกก็คงไม่ผิด เมื่อหน้าหนังออกมาสีชมพูที่มองเห็นเป็นโรแมนติกดราม่าชัดเจน แต่เรื่องราวในตอนต้นกลับทำให้หัวใจไขว้เขาเมื่อการดูไปความรู้สึกมันบอกหัวใจให้สัมผัสความงดงาม เมื่อความรักก่อเกิด มาสู่การสานความสัมพันธ์ รักกัน มีความสุขและมีความหวังที่พร่างพรายด้วยกัน ด้วยอารมณ์ที่สวยใสมองทางไหนเป็นสีชมพู มีความสุขมีรอยยิ้ม มีความน่ารักเพราะเปิดตัวละครออกมาอย่างเป็นที่รักและโรแมนติกแน่แต่อาจไม่ดราม่าอย่างที่คิด แล้วเห็นความรักในความสัมพันธ์นั้นในหลายมิติ ทั้งแบบหนุ่มสาวและแบบพี่น้องที่ต้องดูแลกันในวันที่ไม่เหลือใครและบทเล่าตรงนี้ได้เพราะผู้ชมสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกที่ซึมลึก
จากนั้นก็เลือกที่จะขยี้หัวใจที่เป็นกำลังชมพูด้วยการจัดหนักมาด้วยความเจ็บปวดในหลายมิติทั้งมิซากิ ฮารุโตะ ทาคาชิ หรือกระทั่งอายาโนะ ที่แม้จะเน้นความรักของมิซากิกับฮารุโตะแต่ก็สัมผัสถึงมิติของความรักของทาคาชิที่มีต่อน้อง ความรักที่เป็นความผูกพันระหว่างอายาโนะกับมิซากิที่มาจากความรักของอายาโนะกับทาคาชิ และสิ่งเหล่านี้ที่มันเห็นภาพเพราะบทเล่าเรื่องตัวละครได้ดีโดยที่ไม่ต้องเล่ามากแต่สื่อด้วยภาพที่ผู้ชมเห็น ทำให้ถึงเวลาที่จะมอบมุมความรักของพี่ที่มีต่อน้องให้เห็นผู้ชมก็เชื่อและรู้สึกเช่นนั้นไปทั้งใจเมื่อพี่ชายอย่างทาคาชิที่ยอมทำทุกอย่างโดยไม่คิดซับซ้อนเพราะต้องการรักษาน้อง
ครึ่งหลังเล่นกับความอึดอัดหนักหน่วงที่ถูกใส่เข้ามาแบบถาโถมต่อเนื่องยาวนานไปจนจบเรื่องเลย เหมือนผู้กำกับมั่นใจมากว่าต้องเอากันขนาดนี้เพื่อบีบให้ผู้ชมอินสะเทือนใจไปกับความทรมานของทั้งพระเอกนางเอก ก็อาจจะได้ผลกับคนที่เซนซิทีฟอะไรพวกนี้ง่ายๆ แต่กับผู้ชมที่ไม่เซนซิทีฟหรือเบื่อกับพล็อตจำเจแบบนี้ มันกลายเป็นว่าตัวเรื่องลากยาวจนเกินไปถึงชั่วโมงกว่าเพื่อพยายามทำให้ผู้ชมสะเทือนใจให้ได้ แล้วก็มีตอนจบตบท้ายเบาๆ พอให้รู้สึกว่าไม่ดาร์คจนเกินไปแค่นั้น แต่มันก็ไม่พอที่จะทำให้รู้สึกดีอะไรขึ้นมามากนัก กลายเป็นอารมณ์ในการดูช่วงหลังค่อนข้างน่าเบื่อผิดกับช่วงแรกจนน่าผิดหวังมาก
จนที่สุดแม้จะพยายามเยียวยาแต่สุดท้ายก็ไม่ฝืนเพราะมองเห็นน้องถูกความคิดถึงเกาะกินจนเกือบพังทลายแล้ว บทจึงเล่าเรื่อเวลาต่อมาเมื่อคนสองคนมาเจอกันโดยไม่เห็นหน้าและสร้างความหวังให้ผู้ชมไปพร้อมๆกับทั้งมิซากิและฮารุโตะ เมื่อผู้ชมหวังและลุ้นว่าสุดท้ายคนสองคนจะมาเจอกันหรือไม่ แต่เมื่อเลือกให้สมหวังก็ยังกล้าหักหาญน้ำใจปล่อยให้หัวใจผู้ชมพังทลายไปพร้อมกับตัวละคร และถึงจุดนั้นความรู้สึกผู้ชมก็ดิ่งลึก เศร้าและเจ็บปวดจนสาหัสไม่ต่างกัน แต่หนังญี่ปุ่นก็ยังมีความเป็นเอกลักษณ์เมื่อยังมอบมุมมองของการก้าวเดินต่อไปให้เห็น เมื่อความรักอาจไม่เลือนหายไปจากใจแต่ถึงที่สุดก็ทำได้แค่จดจำมันไว้เป็นความทรงจำที่ดี ทำให้เรื่องมีบทสรุปที่ทรงคุณค่า
ความรักระหว่างพี่น้องหรือความรักระหว่างคนรัก ระหว่างมิตรภาพ ระหว่างพ่อแม่ ระหว่างครอบครัว คือ ความรักที่บริสุทธิ์ เพราะมีแต่ความหวังดี ความประสงค์ดี ความรักดีที่มอบให้กัน ถึงแม้คนๆนั้น ทำให้ทุกข์ใจขนาดไหนก็ตาม แต่เราก็สุขทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือและได้มีกันและกันอยู่ในความทรงจำ
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้บทหนังพาหัวใจผู้ชมไปปู้ยี่ปู้ยำจนแทบไม่เหลือชิ้นดี เมื่ออารมณ์ผู้ชมไม่ต่างจากรถไฟเหาะตีลังกาเมื่อเริ่มต้นอารมณ์หนึ่งแล้วบีบบี้ขยี้แลหกคามือด้วยอารมณ์หนึ่ง แล้วค่อยมาประกอบให้กลับมาแต่สุดท้ายก็ยังเป็นสัจธรรมเมื่ออะไรที่แตกแล้วอาจสามารถประกอบคืนมาได้ แต่ริ้วรอยที่ถูกทิ้งไว้ก็กลายเป็นเครื่องเตือนใจว่าเวลาของคนทุกคนมีไม่เท่ากัน ด้วยงานด้านบทที่แม้จะดูเห็นว่าสุดท้ายบทสรุปจะดูหาทางลงง่าย แต่ด้วยอารมณ์ที่ก่อตัวจากความรู้สึกที่มีกับหนังก็ทำให้หนังเรื่องนี้คืองานดีที่มีมุมมองของความรักที่ผูกมัดและสุดท้ายก็ต้องปล่อย ด้วยการเล่นกับความรู้สึกผู้ชมล้วนๆ เพราะผู้ชมรู้สึกไปกับภาพที่เห็นอย่างเต็มที่จนน้ำตาที่มีอาจไม่พอ