รีวิวหนังใหม่ One for the Road

เริ่มต้นจากที่ ‘อู๊ด’ เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังจะตายจากมะเร็งเหมือนที่พ่อเคยเป็น สิ่งที่เขาทำคือไล่กล่าวลาผู้คนที่มีเบอร์ติดต่อกันในโทรศัพท์ เมื่อล่ำลาเรียบร้อยก็ลบเบอร์ทิ้ง จนคงเหลือไว้เพียงจำนวนสุดท้ายคือพ่อผู้ล่วงลับบรรดาแฟนเก่าและ ‘บอส’ มิตรสหายที่เคยร่วมหัวจมท้ายกันเมื่อครั้งที่เขาอยู่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา คืนนั้นเขาโทรหาบอสเป็นครั้งแรกหลังจากทะเลาะกันจนแยกย้ายไปจากกันหลายปี ดูหนัง

โทรไปเพื่อขอให้บอสช่วยกลับมาเมืองไทย มาพบกันเป็นครั้งสุดท้าย และเป็นธุระขับรถพาเขาที่อ่อนแอลงทุกวันเอาข้าวของไปคืนแฟนเก่าก่อนตาย นี่คือเรื่องราวใน ‘One For The Road’ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ดูหนังออนไลน์

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเล่าเรื่องราวของ อู๊ด (ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์) ที่ป่วยเป็นโรคร้ายและมีเวลาอยู่ได้อีกไม่นาน เขาจึงตัดสินใจโทรตามเพื่อนของเขาที่เป็นเจ้าของบาร์อยู่ที่ New York อย่าง บอส (ต่อ ธนภพ) ให้กลับมาเมืองไทย เพื่อพาเขาขับรถไปเจอหน้าแฟนเก่าครั้งสุดท้ายก่อนตาย เพราะหมอไม่อนุญาติให้เขาขับรถ เลยต้องให้เพื่อนมาขับให้ ซึ่งเขาจะไปหาแฟนเก่าทุกคนเพื่อเคลียร์และไม่ให้มีอะไรค้างคาต่อกันอีก เรื่องราวของพวกเขาทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร และจะทำได้สำเร็จตามที่คิดไว้หรือไม่ คงต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง วันนี้ทุกโรงภาพยนตร์ ดูหนัง 4k

 

หากใครได้เห็นโปสเตอร์หรือดูเทรลเลอร์มาบ้าง คงพอมองออกว่า One for the Road เป็นหนังสไตล์ ‘Road Movie’ ซึ่งจะเป็นการพาตัวละครไปยังสถานที่ต่าง ๆ พร้อมพาคนดูดำดิ่งเข้าไปในความสัมพันธ์อันซับซ้อน ฉะนั้นแล้วหนังเรื่องนี้จึงมีบรรยากาศที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ของบาส นัฐวุฒิ มากพอสมควร ในขณะที่หนัง 2 เรื่องก่อนจะเน้นสไตล์ทริลเลอร์ที่อัดความลุ้นระทึกจนแทบไม่ทันหายใจ แต่ในเรื่องนี้กลับเป็นบรรยากาศสบาย ๆ ที่ค่อย ๆ ใช้อารมณ์ภายในขับเคลื่อนตัวมู้ดของหนังออกมาแทน ดูหนังออนไลน์ 4k

รีวิวหนังใหม่ One for the Road

One for the Road เปิดร้านต้อนรับเราด้วยบรรยากาศสลัว เสียงเพลงดังก้อง และค่อย ๆ เสิร์ฟเรื่องราวให้เราทีละเรื่องเหมือนได้ดื่มค็อกเทลหลายแก้วต่อกันเป็นชุด ประเดิมแก้วแรกรสชาติที่คุ้นลิ้นกับความหวานเปรี้ยวฟีลกู้ดของ Alice’s Dance ต่อด้วยรสซ่าขมปนหวานของ Noona’s Tear แวะข้างทางจิบยาดองของแรง ก่อนจะทำเราเซกับรสชาติที่แอบคาดไม่ถึงของ After the Rain และดึงเรากลับมาด้วย New York (turns) Pattaya Sour แก้วใหญ่เบิ้ม ปิดท้ายด้วย Chemotherapy ที่ขมแต่มี after taste เจือหวานอยู่ปะแล่ม  รีวิวหนังใหม่

 

เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยการเดินทางไปด้วยกันของชายหนุ่ม 2 คน ดื่มชีวิตอีกสักแก้วก่อนเดินทางไกลไม่หวนกลับ พวกเขาเดินทางไปหลายจังหวัดเพื่อไปพบกับบรรดาหญิงสาวที่เคยมีความหมายต่อชีวิต โดยมีเทปบันทึกเสียงการจัดรายการวิทยุของพ่อผู้ล่วงลับของอู๊ด เป็นเพลงประกอบการเดินทาง หญิงสาวบางคนก็ยินดีที่ได้พบกันอีก บางคนก็สาปส่งว่าอย่าได้พบกันอีกเลย และบางคนก็ชืดชาจนคิดว่าไม่จำเป็นต้องพบกันอีกแล้ว การเดินทางสิ้นสุดลงเมื่อบอสแวะกลับบ้านที่พัทยาเป็นครั้งแรกหลังจากไปอยู่นิวยอร์กนานหลายปี และความลับที่อู๊ดเก็บไว้ เกี่ยวกับหญิงสาวคนสุดท้ายของเขา

 

 

ขณะที่หนังพาเราสำรวจเส้นทางที่อู๊ดและบอสได้ได้เดินทางผ่าน หนังก็ค่อย ๆ สอดแทรกแฟลชแบ็กกับหยอดปมไว้ตลอดทาง พร้อมย้อนความว่าพวกเขาเป็นใคร อะไรที่นำพาให้พวกคู่หูนี้ให้ต้องมาเจอกัน แต่ทว่าหนังก็ใช้ความเป็นโร้ดมูวี่ได้ไม่คุ้มนัก เพราะแต่ละโลเกชันที่พวกเขาไป มันกลับไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรไปมากกว่าการเป็นแค่จุดเช็กพอยต์ที่พาอู๊ดไปเจอกับแฟนเก่าแต่ละคนก็เท่านั้น

 

บอกก่อนเลยว่า ดีเกินคาดมากๆ งานภาพสวยจริงๆ ยอมรับเลย ไม่เสียชื่อหว่อง กาไว จริงๆ งานละเอียด และดูสากลกว่าหนังไทยทั่วไปมากๆ แต่ต้องบอกว่าเรื่องนี้งานภาพไม่ได้ออกมาสไตล์หว่องขนาดนั้น แต่ก็มีกลิ่นอายไม่น้อย แต่ไม่เหมือนไปซะทั้งหมด ซึ่งบอกเลยว่าไม่ได้มีดีแค่งานภาพที่สวยงาม แต่มันดีเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะบท ที่เขียนมาได้ดีมากๆ มีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย ทำให้ได้เห็นมิติของตัวละครทุกตัวได้อย่างชัดเจน และทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้อย่างถ่องแท้ แถมทุกอย่างยังมีความหมายและสื่อถึงกันแบบหมดจด ทำให้รู้เลยว่า คนทำหนังเขาตั้งใจให้มันออกมาดีจริงๆ

รีวิวหนังใหม่ One for the Road

ถึงแม้ว่าหนังจะไม้ได้สลับซับซ้อนทางการนำเสนอ แต่ก็ทดแทนด้วยบทที่ซับซ้อนเข้ามาแทน จากปมปัญหาที่หนังแอบหยอดไว้ในแต่ละเส้นทางก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นระเบิดเวลา และทำให้ซีนไคลแม็กซ์นั้นปะทุออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แม้ว่าหนังจะรีดอารมณ์คนดูออกมาได้ถูกจังหวะ แต่น่าเสียดายปมใหญ่ของหนังที่ถูกชูไว้ กลับไม่ถูกให้น้ำหนักเท่าที่ควร และทำให้คนดูรู้สึก ‘หลงทาง’ ในบางครั้ง อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยพยุงหนังไว้คือทัพนักแสดงที่คอยแบกเรื่อง

 

ไล่ตั้งแต่นักแสดงหลักอย่าง ต่อและไอซ์ซึที่เคมีเข้ากันอย่างลื่นไหล ในแต่ละบทสนทนาของทั้งคู่แฝงไว้ด้วยความยียวนกวนทีนและเป็นห่วงกันตลอด จนเรารู้สึกได้เลยว่า นี่แหละความเป็นเพื่อนที่ไม่ประดิดปะดอย โดยเฉพาะไอซ์ซึ ที่ต้องขอชมมาก เพราะเขาใช้วิธีการแสดงแบบ Method Acting ในการดำดิ่งเข้าสู่ความเป็นอู๊ด ซึ่งไอซ์ซึต้องลดน้ำหนักถึง 17 กิโลกรัมและศึกษาพฤติกรรมของผู้ป่วยลูคีเมียระยะสุดท้ายไปพร้อมกัน

 

รีวิวหนังใหม่ One for the Road

 

ในส่วนของนักแสดงก็แสดงดีกันทุกคน โดยเฉพาะซีนดราม่า ทำกันได้ดีไม่มีข้อกังขา แต่ขอติเรื่องบทพูดบางฉาก ที่บทพูดมันแปลกๆ ดูไม่ธรรมชาติยังไงไม่รู้ แต่ก็แค่บางฉากแหละ ภาพรวมคือดีหมด นอกจากงานภาพที่ผมชอบมากๆแล้ว อีกอย่างที่ชอบคือเพลง เสียงประกอบฉากต่างๆ ทำออกมาได้โคตรดีมากๆ เลือกเพลง และเสียงประกอบฉากและอารมณ์ต่างๆได้ดี เหมาะกับภาพและสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ไปอย่างลื่นไหล อีกอย่างคือการที่เอาเสียงของตัวละครพ่อที่เป็นดีเจคลื่นวิทยุมาใส่ประกอบเป็นเสียงพื้นหลังอยู่เป็นระยะๆ มันเป็นอะไรที่เท่ห์ และดีมากๆจริงๆ เพราะเสียงที่คลอนั้นมันซ่อนเรื่องราวและความรู้สึกของตัวละครหลักไว้ ทำให้หนังมันมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นมามากๆ

 

จากโคราชถึงเชียงใหม่ จากนิวยอร์กถึงพัทยา การเดินทางของ 2 หนุ่มค้นลึกลงไปในอดีตของทั้งคู่ในฐานะของคนที่วิ่งหนีตัวเองมาตลอดชีวิต ไปยังที่อื่น ทำผิดพลาด แล้วออกวิ่งหนีไปเรื่อยๆ การออกจากบ้านเพื่อเดินทางไกลจึงกลายเป็นการกลับบ้านที่ข้างในของตนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงไปจาก หนัง 2 เรื่องก่อนหน้าของนัฐวุฒิ พูนพิริยะ อย่าง ‘ฉลาดเกมส์โกง’ และ ‘เคาท์ดาวน์’ ที่เป็นหนังระทึกขวัญ เต็มไปด้วยเทคนิคลูกล่อลูกชนทั้งทางพล็อตและภาพ ‘One For The Road’ เล่าเรื่องเรียบง่าย เต็มไปด้วยแรงขับภายในของคนทำ (ซึ่งเขาเองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่ามันเป็นหนังที่ส่วนตัวที่สุดของเขา)

 

 

เจ็บปวดแต่อบอุ่น สอนใจผู้คนโดยไม่พยายามจะยัดเยียดศีลธรรมอัดกระป๋องลงไปมากนัก

 

 

ด้านนักแสดงสมทบนั้นก็เล่นดีไม่แพ้กัน ไล่ตั้งแต่บรรดาแฟนเก่าของอู๊ดที่รับบทโดย พลอย หอวัง, ออกแบบ ชุติมณฑน์, นุ่น ศิรพันธ์ ที่ทยอยมาสร้างสีสันกันเป็นระยะ แต่น่าเสียดายที่หนังให้มิติพวกเธอเป็นแค่คนที่ผิดหวังจากอู๊ดและโผล่มาเพื่อด่ากับให้อภัยเท่านั้น แม้กระทั่งตัวละครอย่าง พริม (แสดงโดย วี วิโอเลต) ที่เป็นแฟนเก่าของบอส ซึ่งได้มิติและแอร์ไทม์มากกว่าแฟนเก่าคนอื่น ๆ ก็มีหน้าที่เพียงแค่ช่วยขับตัวตนจริง ๆ

ของอู๊ดกับบอสออกมา และที่อดพูดถึงไม่ได้เลยก็คือบท พ่อของอู๊ด (ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) ที่แม้จะโผล่มาแค่เสียงและซีนสั้นๆ แต่ก็ทำหน้าที่ในการนำพาอู๊ดกับบอสให้ทำภารกิจไปจนสุดทาง

 

แต่ไม่ว่าจะยังไงสิ่งที่ One for the Road มีคือรสชาติที่แตกต่างอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ Bucket List ทั่วไปคือการแสดงให้เห็นถึงความตายที่ไม่ใช่เรื่องสวยงาม เต็มไปด้วยการให้อภัยเสมอไป และการบิดมุมมองความฟีลกู้ดที่ตัวละครจะได้สมหวังแม้จะในช่วงสั้น ๆ เพื่อที่จะจากไปอย่างเป็นสุข ให้กลายเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ผ่านตัวละครสีเทาที่ทำให้คนดูรู้สึกหวานอมขมกลืนอย่างอู๊ด ทั้งเอาใจช่วยให้เขาทำภารกิจสำเร็จ แต่ก็อดประนามความเห็นแก่ตัวของตัวละครที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้จากไปแบบใจสงบในใจไม่ได้ ก็เพิ่มรสความขมให้เรื่องแต่ก็ชวนให้สดชื่นไม่น้อย

 

ด้วยคุณภาพของงานสร้าง ทั้งการถ่ายภาพไปจนถึงการแสดง ทำให้คิดไปว่าถ้าหากหนังไทยกระแสหลักมีมาตรฐานงานสร้างในระดับนี้ และมีพล็อตทำนองนี้ที่พาผู้ชมไปไกลกว่าสูตรสำเร็จผี ตลก กระเทยคงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย มันคงน่าตื่นเต้นที่เราจะได้เข้าโรงไปดูเรื่องชีวิตของผู้คนที่ไม่ได้ต้องมี การฆ่า การเล่นตลก หรือเรื่องราวใหญ่โตเกินจริง มันจึงเป็นเรื่องดีที่หนังเรื่องนี้บอกเราว่า หนังไทยสามารถไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ (แน่นอนต้องไม่ลืมว่านี่คือหนังที่มีทุนหลักมาจากต่างประเทศ) มีความเป็นไปได้ที่หนังไทยจะก้าวพ้นขอบเขตแบบเดิมของหนังไทยกระแสหลัก หากนายทุนไทยจะกล้าหาญพอ (ทั้งนี้ทั้งนั้น หนังไทยอิสระหลายเรื่องนั้นไปไกลลิบเรียบร้อยแล้ว)

 

รีวิวหนังใหม่ One for the Road

 

ด้านงานภาพที่กำกับโดย พาเกล้า จิระอังกูรกุล นั้นก็เป็นหนึ่งข้อดีของเรื่องนี้ รับรู้เลยว่าในแต่ละซีนค่อนข้างพิถีพิถันในการจัดวางเฟรม และการที่ได้หว่องกาไวมาช่วยดูภาพรวมของหนัง ก็ทำให้บรรยากาศ ‘สไตล์หว่อง’ ตลบอบอวลอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เมื่อผสมกับจังหวะการตัดต่อสไตล์มอนทาจอย่างรวดเร็วด้วยแล้ว ก็ทำให้จังหวะของหนังถูกนำเสนอออกมาได้อย่างพอดี เป็นตรงกลางที่สมดุลและไม่น่าเบื่อจนเกินไป