รีวิว THE DESPERATE HOUR

THE DESPERATE HOUR ภาพยนตร์ตามหาลูกที่สร้างความลุ้นระทึกให้กับคุณได้แบบนาทีต่อนาที ระยะเวลาของภาพยนตร์กับระยะเวลาที่เรานั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์บางครั้งก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ภาพยนตร์บางเรื่องสามารถเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานับสิบปีในระยะเวลาที่ผู้รับชมนั่งชมในโรงภาพยนตร์เพียงแค่ 2 ชั่วโมงกว่าเท่านั้น ดังนั้นภาพยนตร์เหล่านี้แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ลุ้นระทึกมากแค่ไหนก็ตามแต่มันก็ไม่ได้สามารถสร้างความลุ้นระลึกให้กับคุณได้ตลอดการรับชมในทุกนาที  ดูหนัง 

รีวิวหนังใหม่ THE DESPERATE HOUR

ถ้าใครชอบหนังที่เล่าเรื่องระทึกขวัญผ่านหน้าจอ อย่างเช่น ‘Unfriended’ (2014) และ ‘Host’ (2020) และหนังเอาตัวรอดแบบเรียลไทม์อย่าง ‘Buried’ (2010) มาในปีนี้ ผู้กำกับอย่าง ‘ฟิลลิป นอยซ์’ (Phillip Noyce) ผู้กำกับหนังสายลับ ‘Salt’ (2010) ที่มาพร้อมกับผลงานภาพยนตร์สุดระทึกที่ถ่ายทำด้วยโปรดักชันที่เอื้อต่อการถ่ายทำในช่วงโรคระบาด โดยที่หนังเรื่องนี้ที่เคยมีชื่อเดิมว่า ‘Lakewood’ ยังได้มีโอกาสได้รับคัดเลือกให้ฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังโตรอนโต (Toronto International Film Festival – TIFF) เมื่อปีที่แล้ว ก่อนจะเปลี่ยนชื่อ (ให้ขายได้) เป็น ‘The Desperate Hour’ หรือ ‘ฝ่าวิกฤต วิ่งหนีตาย’ นั่นแหละครับ  ดูหนังออนไลน์

รีวิวหนังใหม่ THE DESPERATE HOUR

วิ่งไม่หยุด…อย่าหยุดวิ่ง! หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นผลงานหนังที่เหน็ดเหนื่อยที่สุดในอาชีพนักแสดงของเสด็จแม่ “นาโอมิ วัตส์” แล้วก็เป็นไปได้ เพราะนี่คือ “The Desperate Hour” (ฝ่าวิกฤตวิ่งหนีตาย) หนังระทึกขวัญที่มีพร้อมกับกิมมิกการเล่าเรื่องในสไตล์สแตนอะโลนของนักแสดงนำเพียงหนึ่งเดียว เปรียบเสมือนพาผู้ชมขี่หลังวิ่งไปด้วยตลอดทั้งเรื่องกับสถานการณ์ที่บับคั้นขึ้นจับใจ ดูหนัง 4k 

รีวิวหนังใหม่ THE DESPERATE HOUR

แต่ไม่ใช่กับภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้อย่าง THE DESPERATE HOUR ภาพยนตร์ความยาว 84 นาทีที่ความยาวในภาพยนตร์และความยาวที่เรารับชมเป็นระยะเวลาเดียวกัน ดังนั้นเท่ากับว่าทุกนาทีที่เรารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะได้ลุ้นระทึกไปกับตัวละครแบบนาทีต่อนาทีเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้มันจึงกลายเป็นภาพยนตร์ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากเพราะการนำเอาเรื่องราวระทึกขวัญมาบอกเล่าในระยะเวลาที่มีจำกัดแถมยังสามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายในขั้นตอนการถ่ายทำจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 แต่สุดท้ายแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมผู้ควรแก่การรับชมไม่แพ้กับภาพยนตร์เรื่องไหน ดูหนังออนไลน์ 4k

รีวิว THE DESPERATE HOUR

หัวอกของคนเป็นแม่ต้องเกิดอาการ “เครียด” และ “วิตกกังวล” ขั้นสุด เมื่อเธอค้นพบว่าโรงเรียนของลูกชายนั้นเกิดเหตุการณ์กราดยิงขึ้น แต่เธอจะแก้สถานการณ์อย่างไรเมื่อตัวเองนั้นอยู่กลางป่าลึก! รีวิวหนังใหม่

มันอาจจะเป็นแค่เพียงเช้าวันธรรมดาสำหรับเอมี่ คาร์ (นาโอมิ วัตส์) คุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกสาวและลูกชายที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาวัยรุ่น หลังจากที่ส่งลูกสาวขึ้นรถโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อย เอมี่พบว่าลูกชายอย่างโนอาห์ (โคลตัน ก็อบโบ) นอนซมอยู่ในห้องนอนของตัวเอง เมื่อลูกชายที่หมกตัวอยู่ในห้องยืนกรานว่าวันนี้เขาจะไม่ไปโรงเรียนและนอนอยู่บ้าน เอมี่จึงปล่อยเขาไว้ที่บ้านและออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งเพื่อออกกำลังกายในยามเช้า

ตัวหนังว่าด้วยเรื่องของเรื่องราวของพนักงานเจ้าหน้าที่สรรพากร ‘เอมี คาร์’ (Naomi Watts) และคุณแม่ลูกสอง ที่สูญเสียสามีและพ่อของลูกด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เกือบจะครบหนึ่งปี วันหนึ่งเอมีได้เข้าไปวิ่งจ็อกกิงออกกำลังกายในป่าลึก แต่แล้วเธอก็ได้รับแจ้งข่าวร้ายว่า เกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนที่ ‘โนอาร์’ (Colton Gobbo) ลูกชายคนโต และ ‘เอมิลี’ (Sierra Maltby) เรียนอยู่ เอมีจึงต้องออกวิ่งไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลจากป่าหลายไมล์ เพื่อหวังจะช่วยเหลือลูก ๆ ของเธอให้พ้นจากเงื้อมมือของมือปืนที่อาจก่อเหตุได้ทุกเมื่อ โดยมีโทรศัพท์เป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวที่จะช่วยให้เธอคลี่คลายเหตุสุดระทึกนี้ไปได้

ประเด็นในหนังสามารถบีบคั้นเร้าใจคนดูได้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ข้อจำกัดในการใช้วิธีเล่าเรื่องเช่นนี้ บางมุมก็ทำให้คนดูรู้สึกลุ้นตามอย่างจดจ่อ แต่ในอีกมุมก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นมุมมองหนังที่น่าอึดอีด หากเล่าขยายมุมมองมากกว่านี้ก็น่าจะประทับใจได้อีกแบบเช่นกัน ตลอดเวลา 84 นาทีของหนังก็คือโฟกัสอยู่ที่ นาโอมิ วัตส์ ได้สัก 80 นาทีได้แล้ว คุณจะไม่ได้เห็นอะไร นอกจากนาโอมิวิ่งๆ และวิ่ง พร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปเรื่อยๆหนังหยิบเอาไว้ประเด็นเหตุการกราดยิงภายในโรงเรียนที่เป็นปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอเมริกามาใส่เอาไว้ในเรื่องนี้ โดยให้คนดูรับรู้ข่าวสารข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ ผ่านจากตัวละครหลักตัวเดียวเท่านั้น เป็นกิมมิกที่น่าสนใจ แต่ก็ยังไม่ได้น่าประทับใจถึงขั้นร้องว้าวอะไรขนาดนั้น ประเด็นที่ค่อนข้างขึงขังและแข็งแรง แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ยังถ่ายทอดออกมาได้ไม่สุดทางสักเท่าไหร่

THE DESPERATE HOUR เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของเจ้าหน้าที่สรรพากรสาวคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเอมี เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวลูก 2 ที่ต้องสูญเสียทั้งพ่อของลูกและสามีของเธอไปด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นระยะเวลาเกือบครบ 1 ปีมาแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงทำหน้าที่เป็นแม่ให้กับลูกอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ลูกของเธอรู้สึกขาดอะไรไป นอกจากนี้เธอยังมีกิจกรรมที่ชอบทำอีกด้วยนั่นก็คือการวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายโดยเธอมักจะเข้าไปวิ่งในป่าลึกเพื่อผ่อนคลายและสงบจิตใจอยู่เสมอ

หลังจากที่ออกวิ่งไปได้สักระยะ เธอและโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่เอาไว้ทั้งเพลงและเอาไว้รับสายเข้าจากบรรดาเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง เอมี่ได้วิ่งเข้าสู่ป่าลึก วิวทิวทัศน์ และน้ำตก ทำให้เธอหวนย้อนกลับไปถึงวันเก่าๆ วันที่ครอบครัวของเธอยังคงพร้อมหน้าพร้อมตา แต่นั่นก็เป็นอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อหัวหน้าครอบครัวอย่างผู้เป็นพ่อได้จากลาโลกนี้ไปเมื่อไม่นานมานี้และปล่อยให้ลูกชายของเธออย่างโนอาห์จมอยู่กับความเศร้าไม่นานมีข้อความเตือนเหตุการณ์ฉุกเฉิน ได้แจ้งเข้ามาในโทรศัพท์ของเอมี่ว่า “นี่คือข้อความแจ้งจากนายอำเภอ ว่าโรงเรียนเลควูดนั้นถูกล็อคดาวน์โดยตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนกำลังสืบหาสาเหตุอยู่ ขอให้ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในโรงเรียนนี้อยู่ในความสงบ เจ้าหน้าที่กำลังเข้าปฏิบัติการ” แน่นอนว่าหัวอกคนเป็นแม่อย่างเอมี่ต้องเกิดอาการตื่นตระหนกตกใจและพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของเธอหรือเปล่า ปัญหาเดียวตอนนี้คือการที่เธอต้องวิ่งออกจากป่าและไปยังโรงเรียนของลูกชาย ทว่าด้วยระยะทางที่ห่างไกลกว่าหลายสิบไมล์ ทำให้เธอร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก

ซึ่งตัวหนังตลอดเกือบ ๆ 84 นาที เราก็จะได้เห็นขุ่นแม่ ‘เอมี คาร์’ อยู่ในป่าลึกโดยที่แทบจะไม่ตัดไปซีนอื่นเลย เธอต้องพยายามวิ่งเดินทางออกจากป่าเลกวูด (Lakewood) เพื่อไปช่วยเหลือลูกชาย และมีโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวในการเอาตัวรอด รับรู้สถานการณ์ และรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในโรงเรียน ตัวหนังในส่วนนี้ก็เลยจะเล่าเสมือนว่าคนดูก็กำลังอยู่ในป่าไปพร้อมกัน และค่อย ๆ ปะติดปะต่อข้อมูลชที่เอมีได้จากการพยายามโทรศัพท์ แชต และสืบค้นหาข้อมูล พร้อมกับความกดดันที่ทวีเพิ่มขึ้นแบบเรียลไทม์

แต่แล้วในวันหนึ่งที่เธอนั้นกำลังวิ่งจ๊อกกิ้งเข้าไปในป่าลึกเพื่อออกกำลังกายตามปกติที่เคยทำพร้อมกับโทรศัพท์มือถือเพียงแค่เครื่องเดียว เธอก็ได้รับข่าวร้ายที่เธอไม่คาดฝันมาก่อนเมื่อโรงเรียนที่ทั้งลูกชายคนโตของเธออย่างโนอาและลูกสาวคนเล็กอย่างเอมิลี่กำลังเกิดเหตุการณ์กราดยิงขึ้นทำให้ลูกทั้งสองคนของเธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย แต่ในป่าที่เธออยู่นั้นห่างไกลจากโรงเรียนเกิดเหตุหลายไมล์เลยทีเดียว แถมสิ่งที่เธอมีติดตัวอยู่ตอนนี้ก็มีเพียงแค่โทรศัพท์เครื่องเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่สามารถช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย

THE DESPERATE HOUR เป็นภาพยนตร์ที่แทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากการวิ่งและการใช้โทรศัพท์แต่มันกลับสามารถสร้างความลุ้นระทึกให้กับผู้รับชมอย่างเราได้เป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลา 84 นาทีที่เธอพยายามวิ่งไปช่วยลูก มันเท่ากับ 84 นาทีที่เราอยู่ในโรงภาพยนตร์และพยายามเอาใจช่วยเธอแบบวินาทีต่อวินาที การเล่นกับความรู้สึกของผู้รับชมด้วยการนำเสนอภาพยนตร์แนวเอาตัวรอดแบบเรียลไทม์มันทำให้ผู้รับชมรู้สึกไปกับตัวละครได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ตลอดระยะเวลาที่เธอวิ่งแม้ว่ามันจะเร็วมากแค่ไหนก็ตามแต่เราก็มักจะรู้สึกเหมือนกับเธอว่ามันยังเร็วไม่พออยู่ดี

ตลอดทั้งเรื่องของ The Desperate Hour ดำเนินเหตุการณ์ผ่านตัวละครของเอมี่และโทรศัพท์ของเธอเท่านั้น ดังนั้นคนดูจึงมืดแปดด้านพอๆกับเอมี่ แต่สิ่งหนึ่งที่คนดูได้รับรู้เพิ่มเติมคือบรรดาห้วงคำนึงและความทรงจำของเอมี่เอง ว่าในฐานะของคนเป็นแม่ และกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวในตอนนี้ เธอต้องแบกรับภาระอะไรบ้าง ท่ามกลางความเป็นห่วงของคนเป็นแม่ มีอยู่ห้วงเวลาหนึ่งที่เธอเผลอคิดไปด้วยซ้ำว่า บางทีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมนั้น จริงๆแล้วอาจจะเป็นฝีมือของลูกชายตัวเองด้วยซ้ำไป

 

THE DESPERATE HOUR

ตัวหนังเล่นสนุกอยู่กับความ “ไม่รู้” ของตัวเอกที่ ไม่มีข้อมูล ไม่รู้เรื่องราว และความห่างไกลจากพื้นที่เกิดเหตุ สิ่งที่เธอรับรู้จึงมีแค่เพียงข้อมูลจากปลายสายโทรศัพท์ การปะติดปะต่อเรื่องราวจากคนนั้นหน่อย คนนี้นิด ซึ่งมันได้สะท้อนความจริงที่ว่า “ความไม่รู้อะไรเลย” ก็ถือเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งเช่นกันนอกเหนือจากการวิ่งไปช่วยลูกแล้วอีก 1 ตัวละครที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือโทรศัพท์มือถือนั่นเอง เพราะมันเป็นเพียงแค่สิ่งเดียวที่เธอจะสามารถใช้ในการช่วยเหลือลูกให้พ้นจากอันตรายได้สำเร็จ เธอจะได้รับรู้เหตุการณ์และข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนผ่านโทรศัพท์มือถือของเธอ รวมไปถึงเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้เธอสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้อีกด้วย

ภาพยนตร์นำเสนอเทคนิคการเอาตัวรอดด้วยโทรศัพท์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และมันเป็นสื่อกลางที่ทำให้เราได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนบ้างในขณะที่ฉากทั้งหลายส่วนใหญ่มักจะอยู่ในป่าแทบทั้งสิ้น เอาจริง ๆ หนังเรื่องนี้ก็มีความคล้าย ๆ กับหนังเรื่อง ‘The Call’ (2013) ที่ใช้โทรศัพท์เป็นตัวกลางในการเอาตัวรอดจากการโดนลักพาตัวนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าหนังเรื่องนี้ใจกล้ากว่ามากที่พยายามจะเล่นกับเทคนิคในการนำเสนอผ่านการใช้โทรศัพท์ของเอมี ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็จะต้องค้นหาให้ได้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นบ้าง และค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับเหตุกราดยิง โดยที่แทบจะไม่ตัดให้เห็นเหตุการณ์นอกป่า หรือเหตุการณ์ในโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย ส่วนตัวละครอื่น ๆ ก็จะมาในรูปแบบเสียงหรือข้อความซะเป็นส่วนใหญ่

ต้องขอบคุณพลังการแสดงและความเป็นมืออาชีพของ นาโอมิ วัตส์ โดยแท้ ที่สามารถประคองหนังเรื่องนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง แม้ว่านี่จะไม่ใช่ผลงานที่น่าประทับใจในเครดิตการแสดงของเธอเลยก็ตาม แต่การรับหน้าที่แบกเดี่ยวหนังทั้งเรื่องอย่างโดดเดี่ยวในครั้งนี้ของเธอ ก็ถือว่าสอบผ่านไปได้เลย ถึงโดยภาพรวมแล้ว The Desperate Hour จะยังค่อนข้างเป็นหนังที่อยู่ในเซฟโซนเป็นสูตรสำเร็จ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่อย่างน้อยๆ ก็มีเนื้อหาที่ระทึกใจส่งถึงคนดูได้ดี ถึงจะแค่มุมมองเดียวก็ตามเถอะ

ข้อจำกัดเหล่านี้กลายมาเป็นจุดเด่นที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้รับชมได้เป็นอย่างดี และอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องชมไม่แพ้กันเลยก็คือบทของภาพยนตร์ที่สามารถยกระดับความกดดันได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีจังหวะไหนเลยที่ทำให้ผู้รับชมอย่างเรารู้สึกว่าการวิ่งของตัวละครช่างน่าเบื่อเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยความกดดันทั้งเรื่อง ยังมีจังหวะแบบผ่อนหนักผ่อนเบาให้เราอยู่ในอารมณ์ที่ค่อนข้างลื่นไหลไปกับเรื่องราว ตุ๊กตานำโชคฟาฟ่า