รีวิวหนัง Interceptor

 

 

ต้องสารภาพตรง ๆ ว่าความรู้สึกแรกที่ได้เห็นหน้าหนังและทีเซอร์ของ “Interceptor สงครามขีปนาวุธ” อดนึกถึงพวกหนังแอคชั่นเกรดบี ทั้งพล็อตเรื่องและโปรดักชั่นต่าง ๆ สัมผัสให้นึกถึงไปในทำนองนั้น ไหนจะเห็นทีมนักแสดงที่แทบจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ แต่ปรากฏว่านี่คือหนังบู๊ที่แอบมีดีกว่าที่คิด นับตั้งแต่ 5 นาทีแรกของหนังที่ใส่จังหวะสนุกแบบต้องตบเข่า! หนังใหม่

Interceptor สงครามขีปนาวุธ เป็นเรื่องราวของ เจเจ คอลลินส์ ทหารหญิงที่ต้องมาเผชิญหน้ากับภัยก่อการร้ายคุกคามอเมริกาจากอาวุธมิสไซล์ที่หมายจะยิงถล่ม 16 เมืองหลัก โดยเธอเพิ่งจะกลับมาประจำการที่ฐานยิงสกัดกั้นขีปนาวุธกลางมหาสมุทรแปซิฟิกได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็ได้พบกับ อเล็กซานเดอร์ เคสเซล อดีตทหารสหรัฐฯ ที่แปรพักตร์และเข้าข้างฝ่ายศัตรู เธอต้องฝ่าฝันอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้ากับปมอดีตที่ยังฝังใจ โดยมีประชากร 300 ล้านคน ตกเป็นเป้าหมายและเดิมพันในสงครามครั้งนี้

 

รีวิวหนัง Interceptor

 

นี่คือผลงานหนังเรื่องแรกของผู้กำกับ “แมทธิว ไรย์ลีย์” ที่เขายังรับหน้าที่ร่วมเขียนบทหนังด้วย บอกตรง ๆ งานกำกับของเขาก็ไม่ได้มีเอกลักษณ์อะไรเลย ก็คือหนังแอคชั่นที่มีลักษณะเป็นหนังเกรดรอง เหมือนนั่งดูหนังแอคชั่นสำหรับหนังแผ่นหรือหนังออนไลน์ โปรดักชั่นก็พื้นฐานและไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ขณะที่พล็อตเรื่องก็เชยแสนเชย ยังโยงใยประเด็นรัสเซียกับอเมริกาตีกันแบบแนวคิดเดิม ๆ

 

รีวิวหนัง Interceptor

 

แต่ปรากฏว่าจังหวะการเล่าเรื่องของหนังที่ธรรมดา ๆ นั้น กลับช่วยส่งเสริมทำให้หนังดูสนุกดี เป็นความบันเทิงแบบที่ไม่ได้ให้ความแปลกใหม่ แต่ลุ้นและระทึกใจกับทุกมิชชั่นที่ตัวละครต้องเผชิญหน้า อีกทั้งภายใต้พล็อตเรื่องที่เชยเหล่านั้น หนังกลับใส่ประเด็นเสริมเข้ามาได้อย่างแยบยล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคมความเกลียดชัง (hate crime) หรือ การเปิดโปงปมคุกคามทางเพศ (sexaul harassment) ถึงแม้ว่าจะใส่เข้ามาแค่ผิวเผินและเป็นตัวประกอบเท่านั้น แต่ก็เพิ่มน้ำหนักให้กับหนังได้ดียิ่งขึ้น

Interceptor ก็คือหนังแอคชั่นสไตล์เดิม ๆ เหมือนกับหนังเมื่อ 20 ปีก่อน ทิศทางเรื่องเดาไม่ยาก องค์ประกอบอะไรต่าง ๆ ง่ายไปหมด ก็กลายเป็นหนังที่ดูแล้วย่อยง่าย เป็นหนังที่มาเพื่อเชิดชูความแข็งแกร่งของผู้หญิง เป็นหนังบู๊สาวกล้าที่ทั้งโอเว่อร์และเก่งเกินจริง แต่ก็สามารถมอบอรรถรสที่ดูได้สนุกและเพลิดเพลินได้ดีแบบไม่ต้องคิดอะไร

 

รีวิวหนัง Interceptor

“เอสซ่า พาทากี” มาแบกรับหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้อยู่หมัด แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้คุ้นชื่อเธอผู้นี้กันเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากบอกว่า เธอคนนี้คือภรรยาของซุปตาร์ “คริส เฮมส์เวิร์ธ” แน่นอนว่าทุกคนจะต้องร้องอ๋อ อันที่จริงเธอก็มีประสบการณ์เล่นหนังมาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะ “Fast Five” หรือ “Thor: The Dark World” แต่คนยังไม่คุ้นกับหนังที่เธอมาเล่นแบบฉายเดี่ยวเช่นนี้ และการแสดงของเธอก็ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐาน

ขณะที่นักแสดงคนอื่น ๆ ก็ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานเช่นกัน เพราะตัวบทและคาแรกเตอร์ต่าง ๆ ในหนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นและให้ความสำคัญมากนัก ไม่ว่าจะเป็น “ลุค บราซีย์”, “แอรอน เกลนน์”, “มาเยน เมตตา” หรือ “พอล แคซาร์” ไม่เพียงเท่านั้นคุณจะได้พบกับเซอร์ไพรส์เด็ด ๆ ที่ซ่อนเอาไว้ในหนังเรื่องนี้ แบบต้องร้อง “อุ้ย!” เป็นเสียงหนุ่ม กรรชัย

 

รีวิวหนัง Interceptor

 

เอาเป็นว่าโดยภาพรวมแล้วนั้น Interceptor จัดได้ว่าเป็นหนังแอคชั่นสูตรสำเร็จแบบเดิม ๆ ที่หาอะไรแปลกใหม่ไม่ได้เลย พล็อตง่าย ๆ และเชยสะบัด ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังเกรดบีหรือหนังบู๊เก่า ๆ ที่ชอบเอามาฉายตอนเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ตัวหนังกลับเล่าเรื่องได้สนุกและลุ้นระทึกได้ดี เป็นหนังที่ผู้ชมจะสามารถเอ็นจอยกันมันได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องคาดหวังอะไรเลย

นับว่าเป็นม้ามืดสำหรับนาทีนี้จริง ๆ สำหรับ Interceptor ที่มาแบบเงียบ ๆ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่ต้องโปรโมตอะไรเลย และที่สำคัญหนังไม่มีจุดขายอะไรเลย ทั้งนักแสดงและผู้กำกับ แต่หนังก็ขึ้นอันดับ 1 ในตาราง Netflix เมืองไทยไปได้แบบฉลุย

Interceptor มีชื่อไทยง่าย ๆ ว่า “สงครามขีปนาวุธ” เปิดเรื่องมาด้วยคำบรรยายว่า สหรัฐอเมริกามีฐานตรวจจับและป้องกันขีปนาวุธนิวเคลียร์อยู่ 2 แห่ง หน้าที่ของฐานนี้คือ คอยตรวจับขีปนาวุธที่มุ่งหน้ามายังสหรัฐฯ และจะยิงขีปนาวุธออกไปทำลายก่อนเข้าน่านฟ้าสหรัฐฯ ฐานแรกคือ ฟอร์ตกรีลีย์ อยู่ในรัฐอะลาสก้า และฐานที่ 2 คือ SBX-1 เป็นฐานที่อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก แต่แล้วฟอร์ตกรีลีย์ก็โดนกลุ่มบุรุษลึกลับติดอาวุธบุกจู่โจมสังหารเจ้าหน้าที่จนหมดสิ้น พร้อมทั้งออกแถลงการณ์ออนไลน์ว่า พวกเขาได้เข้าชิงขีปนาวุธนิวเคลียร์จากรัสเซียมาได้แล้ว 16 ลูก ตั้งจุดหมายปลายทางไว้ยัง 16 รัฐของอเมริกาไว้เรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อไปของกลุ่มก่อการร้ายก็คือฐาน SBX-1 ที่นางเอกของเรื่องคือ กัปตัน เจ.เจ. คอลลินส์ (รับบทโดย เอลซ่า พาทากี้ (Elsa Pataky) ภรรยาตัวจริงเสียงจริงของ คริส เฮมส์เวิร์ธ) เพิ่งถูกส่งไปประจำการ

 

 

หนังเปิดเรื่องและเดินเรื่องอย่างรวดเร็วฉับไว หลังแนะนำตัวนางเอกหญิงแกร่งของเรื่องได้ไม่ทันไร กลุ่มคนร้ายก็เปิดตัวทันที กำลังจะเริ่มแผนการบุกเข้ายึดห้องควบคุม พอดีที่คอลลินส์แก้ไขสถานการณ์ได้ทัน รีบขังตัวเองและเจ้าหน้าที่อีก 2 นายไว้ในห้องควบคุม ทางกองทัพสหรัฐฯ ทราบเรื่องก็รีบส่งหน่วยซีลมาสมทบ แต่ต้องใช้เวลาเดินทางมายัง SBX-1 ถึง 90 นาที จึงเป็นภาระหน้าที่ของคอลลินส์ ที่ต้องยับยั้งการบุกรุกของกลุ่มผู้ก่อการร้ายไว้ไม่ให้บุกเข้ามาได้ก่อนที่หน่วยซีลจะมาถึง ซึ่งระหว่างนี้ อเล็กซานเดอร์ เคสเซิล หัวหน้าทีมก่อการร้ายก็พยายามหาทางบีบบังคับให้คอลลินส์ยอมเปิดประตู ทั้งจับตัวประกันขู่ฆ่า ทั้งเสนอเงินรางวัลก้อนโต ขณะเดียวกันก็ส่งลูกสมุนให้บุกเข้าห้องมาช่องทางนั้น ช่องทางนี้ ทำให้หนังได้สอดแทรกฉากต่อสู้เป็นระยะ ๆ

ไม่รู้ว่าฝ่ายก่อการร้ายมีอยู่กี่คนกัน เห็นโผล่มาให้นางเอกจัดการทีละคน ทีละคน ไปเรื่อย ๆ ก็เห็นได้ชัดว่าหนังเน้นขายฉากต่อสู้เป็นหลัก มีการออกแบบฉากต่อสู้ที่ผ่านกระบวนการคิด วางแผน ให้ใช้ทั้งอาวุธ มือเปล่า และข้าวของรอบตัว แต่ก็มองเห็นได้ชัดว่าเล่นกันตามคิว ซึ่งในวันนี้วิทยาการงานสตันท์ในวงการหนังฮ่องกงได้ถ่ายทอดไปถึงฮอลลีวูดแล้ว ฉากต่อสู้ในหนังช่วงหลัง ๆ จึงออกมาสมจริงหนักหน่วงกันอย่างมาก พอเรื่องไหนทำได้ไม่ถึง จึงเห็นได้ชัด อย่างใน Interceptor นี่ก็เช่นกัน ที่น่ารำคาญมากก็คือดนตรีประกอบซึ่งพยายามบิลท์เหลือเกิน ดังและล้ำหน้าความตื่นเต้นของภาพในฉากนั้น ๆ ไปมาก ดูแล้วไม่เข้ากัน คุณภาพอย่างกับละครหัวค่ำบ้านเรา ที่มักขโมยดนตรีประกอบต่างชาติมาใส่แบบเวอร์วัง

 

 

จะว่าไป Interceptor ก็มาในสูตรสำเร็จของหนังแอ็กชันฮอลลีวูดนะ กับการเขียนให้พระเอกจำเป็นไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาในสถานที่ปิดล้อม แล้วก็เป็นสูตรที่มักจะประสบความสำเร็จเสียด้วย อย่างเช่นใน Die hard 1, Die Hard 2, Sudden Death, Under Siege 2: Dark Territory แต่ที่สำคัญหนังจะต้องมีบทที่ดี และผู้กำกับที่มีประสบการณ์ แต่กับ Interceptor ไม่มีทั้งสองอย่าง หนังน่าจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการภาพยนตร์เลยล่ะครับ ที่ผู้กำกับมาจากนักเขียนนิยาย แมทธิว ไรลีย์ (Matthew Reilly) เป็นนักเขียนนิยายแนวแอ็กชันชาวออสเตรเลีย ที่มีผลงานตีพิมพ์มาแล้วหลายสิบเล่ม เนื้อหาของเขามักจะมาแนวอย่างที่ว่านี่แหละ พระเอกของเรื่องมักจะไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา ต้องกลายเป็นฮีโรจำเป็น ดูหนัง,ดูหนังออนไลน์

 

รีวิวหนัง 

 

 

โดยปกติแล้ว หนังเรื่องไหนที่ได้เจ้าของเรื่องมามาเขียนบทภาพยนตร์เอง มักจะออกมาดี คือถ่ายทอดเนื้อหาสาระจากงานเขียนมาได้ครบถ้วน แต่คงต้องยกเว้น แมทธิว ไรลีย์ ผู้นี้ไว้แล้วล่ะ เพราะตัวละครนำทั้งสองฝั่งอย่าง เจ.เจ. คอลลินส์ และ อเล็กซานเดอร์ เคสเซิล นั้นช่างแบนราบ มีการพูดถึงอดีตของคอลลินส์พอสมควร ว่าเธอเคยมีเรื่องราวอื้อฉาวในกองทัพ เป็นปมในใจ แต่นี่คือหนังแอ็กชันแบบจริงจัง ซึ่งหนังเลือกที่จะโชว์ฉากพะบู๊ของเธอมากกว่า

แต่หนังก็ไม่ได้กล่าวเลยว่าเหตุใดคอลลินส์ถึงเก่งกาจขนาดนี้ เชี่ยวชาญทั้งการต่อสู้มือเปล่า และอาวุธทุกรูปแบบ ขนาดที่ว่าสามารถสังหารคู่ต่อสู้ที่เป็นผู้ชายบึกบึนได้หมดทุกราย ส่วนเคสเซิลหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายที่ข้อมูลเบื้องหลังบอกว่า ได้แรงบันดาลใจมาจาก ฮานส์ กรูเบอร์ จาก Die Hard วายร้ายอันดับต้น ๆ ของภาพยนตร์ฮอลลีวูด บทแจ้งเกิดของ อลัน ริคแมน ผู้ล่วงลับ แต่เคสเซิลถ่ายทอดไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวของกรูเบอร์เลย เคสเซิลไม่มีทั้งไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม และที่สำคัญ ลุค เบรซีย์ (Luke Bracey) ก็ไม่สามารถถ่ายทอดรังสีอำมหิตอย่างที่ตัวร้ายควรจะมีให้รู้สึกได้ ขนาดลูกน้องยังกล้าต่อปากต่อคำไร้ซึ่งความยำเกรงเลย รวมไปถึงเหตุผลที่เขาลุกขึ้นมาปฏิบัติการระทึกโลกเช่นนี้ก็ไม่ชัดเจน และทำไปเพื่อเป้าหมายอันใด

 

 

เชื่อแน่ว่าถ้า แมทธิว ไรลีย์ คงสถานะตัวเองไว้แค่บทภาพยนตร์ แล้วปล่อยให้ผู้กำกับมืออาชีพมีประสบการณ์มาทำหน้าที่ หนังจะออกมาสนุกกว่านี้แน่นอน เพราะพล็อตเรื่องปูมาน่าสนใจแล้ว เลือกหยิบแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมาเล่า แล้วถ้าหนังสามารถสร้างภาพลักษณ์ของตัวร้ายให้ดุ น่ากลัว กว่านี้หนังจะระทึกเข้มข้นขึ้นอีกมาก

จุดที่น่าชื่นชมอย่างมากก็คือ เอลซา พาทากี นางเอกของเรื่องในวัย 45 ปี (แก่กว่า คริส เฮมส์เวิร์ธ 8 ปี) ดูอ่อนกว่าวัยมาก แล้วเห็นได้ชัดว่าเธอตั้งอกตั้งใจกับบทนี้อย่างมาก ดูได้จากมัดกล้าม เชื่อว่าเธอต้องผ่านการเข้ายิมมานับร้อยชั่วโมงเป็นแน่ สุดท้ายเธอก็ได้หุ่นที่ดูเหมาะกับการเป็นนางเอกนักบู๊ และฉากที่ชวนอึ้ง ทึ่ง อย่างมาก และเป็นฉากขายบนโปสเตอร์ด้วย ก็คือการโหนบาร์ด้วยแขนข้างเดียว แล้วยังโยนตัวข้ามบาร์ต่อเนื่องเป็นสิบครั้งได้อีกด้วย ไม่ทำให้คริสผู้เป็นสามีผิดหวัง เพราะเรื่องนี้คริสเป็นผู้อำนวยการสร้าง แถมยังมารับบทสมทบในเรื่องด้วย เรียกได้ว่าทำหน้าที่ป๋าดันเมียตัวเองแบบสุด ๆ

 

 

Interceptor เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนังสัญชาติออสเตรเลียก็ไม่ผิดเพราะนักแสดงก็เป็นออสเตรเลียล้วนๆ ผู้กำกับเขียนบทก็ออสเตรเลียแถมหนังก็ยังถ่ายทำกันในออสเตรเลียใช้นักแสดงหลักไม่ถึง 10 คนฉากส่วนใหญ่ก็เป็นฉากภายในห้องบังคับการใช้ทุนสร้างไม่เกิน 15 ล้าน ถ้าไม่มีหน้าคริส เฮมส์เวิร์ธโผล่มา Interceptor ก็คือหนังเกรดบีเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นยุคก่อนก็คือหนังที่สร้างลงดีวีดีนั่นแหละ

หนังยังคงสูตรสำเร็จของหนังแอ็กชัน ด้วยการเล่นกับวินาทีฉิวเฉียดแบบเสี้ยววินาที ก็พอได้ลุ้นหน่อยนึงเพราะเราก็รู้กันอยู่แล้วล่ะว่ายังไงก็ทัน หนังพอให้ความบันเทิงได้ ไม่ถึงกับเสียเวลาดู แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เส้นเรื่องคาดเดาได้หมดดูไปทำนู่นทำนี่ไปได้ เดินไปหยิบขนม เข้าห้องน้ำ กลับมาดูต่อก็รู้เรื่อง ดูหนัง,ดูหนังออนไลน์