รีวิวหนัง Overlord

หนังบางเรื่องพาเราย้อนเวลากลับไปสู่วันเก่าๆ ด้วยการเล่าเรื่องที่มีพื้นหลังเป็นเหตุการณ์จริงๆ ในวันเก่า บ้านเมืองเก่าๆ แต่บางเรื่องก็รวมมันเข้ากับหนังอีกแนว จนได้ส่วนผสมใหม่ๆ อย่างเช่นเรื่องนี้ ‘Overlord‘ หรือชื่อไทย ‘ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด’ ที่เป็นทั้งหนังสงครามโลกครั้งที่สองและมีความเป็นหนังซอมบี้ หนังใหม่netflix

 

รีวิวหนัง Overlord พล็อตเรื่อง

เรื่องราวที่เกิดมาจากการเขียนบทของสองคน Billy Ray และ Mark L. Smith ผ่านสู่ฝีมือการกำกับของ Julius Avery (จาก Son of a Gun) เรื่องย่อหนัง ‘Overlord’

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารบางกลุ่มได้รับคำสั่งให้บินและโดดร่มลงไปเพื่อปฏิบัติภารกิจ ในนั้น มีบางคนที่ได้รับบทบาทเด่น ไม่ว่าจะเป็น จ่าฟอร์ด (Wyatt Russell) และบอยซ์ (Jovan Adepo) หนุ่มผิวสีที่ไม่ได้อยากจะเป็นเล้ยย ทหงทหารอะไรเนี่ย การโดดร่มลงไปในเมืองๆ หนึ่งแถบฝรั่งเศส ด้วยคำสั่งที่สำคัญอย่างการวางระเบิดหอวิทยุสื่อสารของฝ่ายศัตรู แต่พวกเขากลับต้องเผชิญหน้ากับนาซีที่ใช้พลังเหนือธรรมชาติและพัวพันกับการทดลองที่น่ากลัว การทดลองที่สร้างมนุษย์ให้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างมาพละกำลังเหนือมนุษย์ ที่พวกเขาอาจไม่ใช่ทำภารกิจไม่สำเร็จ ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์

 

รีวิวหนัง ‘ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด’

ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ตัวแทนของความพยายามในการผสมผสานเพื่อสร้างสรรค์หนังในทางใหม่ๆ ในเมื่อโลกมีหนังซอมบี้ที่เกิดจากเทคโนโลยีทางการแพทย์แล้ว ก็น่าจะต้องมีหนังซอมบี้ที่เกิดขึ้นจากการทดลองลับๆ ของเหล่าทหารนาซีกันบ้าง

รีวิวหนัง Overlord

จะว่าไป การทดลองอันนี้ ก็ไม่เชิงว่าจะสร้างซอมบี้ขึ้นมาอย่างชัดแจ้ง หนังทั้งเรื่องไม่ได้มีส่วนไหนที่พูดถึงคำว่า “ซอมบี้” เลยสักนิดเดียว แต่ถ้าดูจากคอนเซปต์ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ มันก็มีความใช่อยู่เหมือนกันนะ

 

ทั้งหมดทั้งมวลมันอยู่ในหนังสงคราม… หนังหยิบจับช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรร่วมกันต่อสู้เพื่อเอาชนะพวกนาซี ทว่าเหตุการณ์ในหนังจะเกิดขึ้นในเขตแดนฝรั่งเศส เมื่อพวกทหารต้องโดดร่มอย่างโคตรเสี่ยงตายเพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญที่จะทำให้เกิดชัยชนะ แต่พวกเขากลับต้องพบเซอร์ไพรส์ เมื่อรู้ว่ามีการทดลองมนุษย์อย่างลับๆ เกิดขึ้น ซีรีย์netflix

รีวิวหนัง Overlord

ผสมๆ เข้ากับการที่พวกเขาได้พบเจอหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในแถบนั้น ซึ่งแว้บแรกที่เห็น ได้แต่อุทานในใจว่า “สวยว่ะ” ในหนัง เธอชื่อโคลอี้ (Mathilde Ollivier) เป็นชาวบ้านธรรมดาที่เกลียดพวกเยอรมันเอามากๆ เธอกลายเป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ขับเคลื่อนไป

 

เรื่องราวที่ดูเข้าใจได้ง่าย มุ่งเน้นความระทึกและความเลือดสาดเป็นหลัก เสียงเพลงประกอบที่ค่อนข้างเล่นใหญ่ ช่วยสร้างอารมณ์ได้ค่อนข้างดี ยิ่งสัมผัสบรรยากาศในระบบ IMAX ยิ่งทำให้รู้สึกได้ว่าเสียงมันอึกทึกมาก เสียงตูมตามของระเบิด เสียงยิงปืนกันสนั่น ไม่น่าเชื่อว่าบางช่วงบางตอนของหนัง ทำให้นึกไปว่า นี่มันทางของหนังกำเนิดวายร้ายในซูเปอร์ฮีโร่เรื่องใดสักเรื่องหรือเปล่า

รีวิวหนัง Overlord

แม้จะมีบางช่วงที่ดนตรีประกอบดูจะเล่นใหญ่ไปกว่าภาพ แต่การดำเนินเรื่องก็ค่อนข้างกระชับไม่เยิ่นเย้อ บางช่วงอาจจะดูกระโดดๆ ไปบ้าง ขณะที่เรื่องราวก็มีบางส่วนที่ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ

 

แถมยังมีตัวละครน่ารำคาญประกอบอยู่ด้วยอีก แต่ทั้งหมด ต่างก็เป็นตัวละครที่มีซีนของตัวเอง มีช่วงเวลาที่พวกเขาเหมาะสมจะอยู่ในนั้น เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ควรต้องมีอยู่ในหนัง ‘ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด’ กลายเป็นภาพยนตร์ที่น่าจะดูสนุก หวาดเสียว วี้ดวาย เสียอาการได้มากสำหรับคนที่ตื่นกลัวอะไรพวกนี้ ซีรีย์ผีnetflix

รีวิวหนัง Overlord

แต่ความที่หนังยังดูมีความขาดๆ เกินๆ อยู่บ้างในบางจุด ความสมเหตุสมผลที่สร้างความน่าเชื่อให้เกิดในใจของผมยังมีไม่สูงนัก ทำให้มันยังเป็นหนังที่ชวนบันเทิงได้อยู่พอประมาณ เดาทางได้ง่ายจนแทบจะไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ในช่วงท้ายๆ เลย เรื่องย่อ/เนื้อเรื่อง

เรื่องราวมีพื้นหลังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กล่าวถึงทหารสังกัดกองร้อย 101 ในวัน D-Day ที่มีปฏิบัติการณ์กระโดดร่มลงในพื้นที่แห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสที่ถูกฝ่ายเยอรมันเข้ายึดไว้ โดยมีเป้าหมายในการถล่มหอคอยวิทยุของฝ่ายเยอรมันเพื่อเปิดทางให้หน่วยทหารราบของฝ่ายพันธมิตรยกพลขึ้นบกได้

รีวิวหนัง Overlord สรุปหลังดู

ในระหว่างที่เครื่องบินได้เข้าสู่น่านฟ้าฝรั่งเศส ทั้งเครื่องบินและพลร่มทั้งหลาย ต่างถูกโจมตีด้วย ปตอ.ของฝ่ายเยอรมัน จนเหลือรอดชีวิตอยู่เพียง 5 นายที่ต้องปฏิบัติตามภารกิจต่อไป ประกอบไปด้วย สิบโทฟอร์ด (นำแสดงโดย Wyatt Russell), พลทหารบอยซ์ (นำแสดงโดย Jovan Adepo), พลทหารทิบเบต (นำแสดงโดย John Magaro), พลทหารเชต (นำแสดงโดย Iain De Caestecker) และ พลทหารดอวสัน (นำแสดงโดย Jacob Anderson)

รีวิวหนัง Overlord

ในระหว่างที่กำลังมองหาลู่ท่างในการเข้าโจมตีหอคอยวิทยุของฝ่ายเยอรมัน พลทหารบอยซ์ ได้แอบเข้าไปยังโบสถ์เก่าของเมืองได้โดยบังเอิญ จนทำให้เขาได้เห็นการจับเอาชาวบ้านและเหล่าทหารที่จับตัวเป็นเชลย รวมถึงการนำซากศพมนุษย์ มาทำการทดลองลับๆ  และในระหว่างที่ทำการสำรวจในบริเวณห้องทดลอง เขาได้พบกับ พลทหารเจคอป (นำแสดงโดย Dominic Applewhite) ที่กำลังถูกทำการทดลองอยู่ เขาจึงได้เข้าทำการช่วยเหลือและก่อนที่จะหลบหนีออกมา พลทหารบอยซ์ ได้แอบขโมยเซรุ่มที่ใช้ในการทดลองนี้ออกมาได้

 

และนั่นเอง จึงทำให้พวกเขาได้รับรู้ว่า ความน่าสะพรึงกลัวกำลังจะเกิดขึ้น เป็นการผสมผสานหนัง 2 แนวได้อย่างลงตัวมากฮะ ระหว่าง หนังสงคราม ที่สามารถสื่อให้เห็นถึงความเลวร้ายของสงครามได้ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเปิดเรื่องก็ทำให้เรานึกถึงหนังสงครามชั้นเยี่ยมอย่าง Saving Private Ryan ได้เลยนะ กับ หนังสยองขวัญ เกรดบีที่มาในแนวทางแบบหนังสยองขวัญเกรดบีในยุค 80-90 เลย แถมยังให้อารมณ์เหมือนตอนที่เราเห็นตัวประหลาดแบบในเรื่อง Resident Evil (เวอร์ชั่นที่กำกับโดย Paul W. S. Anderson และนำแสดงโดย Milla Jovovich) ครั้งแรกอีกด้วย

 

ถือว่าทำออกมาได้น่าสนุกและลุ้นระทึกมากๆ ดำเนินเรื่องได้ดี แม้ว่าพลอตเรื่องจะเดาทางง่ายและไม่มีอะไรซับซ้อน แต่คือมันสนุกมาก

รีวิวหนัง Overlord

 

ความโหดเลือดสาด ก็มีให้เห็นเรื่อยๆ ตามสไตล์ของหนังแนวนี้ และเนื่องจากมีข่าวลือที่ถูกปล่อยออกมาค่อนข้างมากเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นภาคที่ 4 ของจักรวาล Cloverfiled จนทำให้สุดท้ายแล้ว J.J Abrams ต้องออกมายืนยันผ่านการสัมภาษณ์ด้วยตัวเขาเองว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับจักรวาล Cloverfiled แต่อย่างใดเลย แต่นี่จะเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่องแรกของเขาและทีม Bad-Robot ที่จะได้รับ Rate-R ในการเข้าฉาย

 

Overlord หนังซอมบี้สไตล์ใหม่ ที่เน้นสะใจเข้าว่า

เดิมทีโปรเจคนี้ ถูกดึงให้อยู่ในจักรวาล Cloverfield แต่หลังจากที่ Cloverfield Paradox มีวี่แววสุ่มเสี่ยงเจ๊งสูง จนค่ายหนังขายต่อให้ Netflix เอาไปฉายสตรีมมิ่งเอง ทำให้โปรเจคนี้ก็ได้ถูกถอดออกจากจักรวาลนั้นทันที

รีวิวหนัง Overlord

ตัวหนังเองพอหนังไม่ได้อยู่ในจักรวาลดังกล่าวแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเล่าได้หลากหลาย ไม่ยึดติดกับอะไรเดิมๆ ได้เหมือนก่อน ซึ่งมันน่าสนใจตรงนี้ ตัวพล๊อตเองนั้นเป็นเรื่องราวว่าด้วย หน่วยทหารอเมริกัน ต้องบินไปทำภาระกิจในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ฝรั่งเศส ซึ่งตอนนั้นถูกนาซียึดครองเป็นฐานส่งสัญญาณวิทยุ ทำให้ทหารอเมริกันต้องเข้าไปทำลายทิ้งเพื่อที่จะได้ยกพลเข้าต่อสู้ได้ง่ายๆ แต่ในฐานลับนั้นได้มีการทดลองเพื่อสร้างบางสิ่งอันน่ากลัวทำให้นอกจากภาระกิจหลักแล้วเขายังต้องป้องกันไม่ได้สิ่งทดลองอันนี้หลุดออกมาโลกภายนอกให้ได้ ไม่งั้นคงได่พ่ายแพ้สงครามแน่ๆ

 

ซึ่งหนังเองเน้นความเรียลของฉาก และเสียงที่สามารถเอาคนดูอยู่หมัดตั้งแต่ฉากแรก และทวีความสนุกขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าตั้งแต่ฉากแรกแทบไม่ค่อยให้คนดูได้หยุดพักหายใจเลยจนจบเรื่อง ถ้าใครเคยที่ชอบบรรยากาศการดูหนังที่ลุ้นติดต่อกันแบบ Mad Max ขอแนะนำเรื่องนี้เลยทีเดียว และต้องขอเตือนด้วยสำหรับคนที่ไม่ชอบอะไรที่โหดเลือดสาด เรื่องนี้มีฉากที่ว่าอยู่เต็มไปหมดจริงๆ

รีวิวหนัง Overlord

สรุปแล้วเรื่องนี้พอได้ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับจักรวาล Cloverfield แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นดีๆที่สามารถใส่ลูกเล่น พล๊อตต่างๆได้ไม่ยั้งมือ ซึ่งทำให้หนังดูน่าสนใจมากขึ้น และดำเนินเรื่องได้สนุกจริงๆ ส่วนตัวผมชอบมากสำหรับเรื่องนี้ 9/10ไปเลย หนังจากค่าย Bad Robot ที่พ่วงชื่อ J.J. Abram มาด้วย โดยในตอนแรกหลายต่อหลายคนก็นึกไปเลยว่า “มันต้องเป็นหนังในจักรวาล Cloverfield แน่ๆ” เพราะค่ายนี้มักชอบเก็บเงียบ ไม่โปรโมท ไม่ปล่อยตัวอย่าง ไม่ค่อยปล่อยอะไรให้เราได้ดูกันเลย แต่สุดท้ายมันก็ไม่เกี่ยวข้องกันเลย

 

ชื่อหนังมาจากปฏิบัติการ Overlord ในการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเนื้อเรื่องนำปฏิบัติการนี้มาเล่าใหม่ในมิติใหม่ รูปแบบหนังแอ็คชั่น ปนสยองขวัญ ระทึกขวัญ โดยเป็นเรื่องราวของทหารกลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องบุกเข้าไปยังฐานที่มั่นของพวกนาซี เพื่อที่จะระเบิดหอวิทยุ และทำให้กำลังพลฝั่งตนเข้ามายึดพื้นที่นี้ได้

 

ต้องออกตัวเลยว่าชื่นชอบหนังของค่าย Bad Robot หลายๆ เรื่อง และยิ่งมีการการันตีว่าเป็นผลงานของ J.J. Abram ด้วยแล้ว ทำให้ได้กลิ่นของ Cloverfield ลอยมาแต่ไกลเลย (ยกเว้น Cloverfield Paradox นะ อันนั้นเราไม่ชอบเลย) แต่เหมือน Overlord จะเป็นหนังที่ด้อยที่สุดในบรรดาหนังที่มีชื่อ J.J. Abrams เลยก็ว่าได้