รีวิว พงหลอนมรณะ

 

 

หนังใหม่ In the Tall Grass “พงหลอนมรณะ”

หากพูดถึงเรื่องราวสยองขวัญจากปากกาของ Stephen Kings ที่กลายมาเป็นภาพยนตร์มาให้เราได้ดูหลายคนอาจนึกถึงหนังคลาสสิคขึ้นหิ้งอย่าง The Shining (1980), Carrie (1976, 2013), Misery (1990), IT (1990, 2017, 2019) และหนังเรื่องใหม่ล่าสุดอย่าง Doctor Sleep (2019) สำหรับบทความนี้เราจะมาพูดถึงหนังสยองขวัญอีกเรื่องที่เป็น Netflix Original นั่นคือ In the Tall Grass (2019) “พงหลอนมรณะ” ที่สร้างจากนิยายสยองขวัญในชื่อเดียวกัน ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2012 ประพันธ์โดย Stephen King และลูกชายของเขาชื่อ Joe Hill (Joseph King) ซึ่งเป็นเรื่องที่ 2 ของทั้งสองพ่อลูกที่เขียนร่วมกันหลังจากเรื่องแรกคือ Throttle ที่ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2009

เรื่องย่อ In the Tall Grass “พงหลอนมรณะ” เป็นเรื่องราวของกลุ่มคนดวงซวยอย่างสองพี่น้อง Beckky กับ Calw ที่กำลังขับรถไปบนถนนเปลี่ยวนอกเมืองและได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากพงหญ้าสูง พอทั้งสองเข้าไปเพื่อตามหาก็เกิดหลงขึ้นมา

 

รีวิว พงหลอนมรณะ

 

สำหรับเนื้อเรื่องนั้นมีพื้นฐานที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมายแค่คนหลงในป่าหญ้า แต่ถ้ามันง่าย ๆ แบบนั้นก็คงไม่ใช่ Stephen Kings เพราะว่าพงหญ้านี้เองก็มีความลับของมันซ่อนอยู่ทั้ง ๆ นี้อยู่ห่างกันไม่กี่เมตรก็ไม่สามารมองเห็นกันได้ราวกับว่าพงหญ้านี้มีชีวิตและย้ายคนไปมาเพื่อไม่ให้หากันเจอจากที่ตอนแรกอยู่ใกล้ ๆ กันพอรู้ตัวอีกทีก็หากันไม่เจอ

ปริศนาที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะมีโลเคชั่นที่จำกัดแค่ในพงหญ้าแต่หนังก็สามารถดำเนินเรื่อราวไปได้น่าติดตามโดยการสลับฉากไปมาระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ตัวหนังทำให้คนดูอย่างเรา ๆ สับสนเกี่ยวกับเวลา ว่าใครเข้ามาก่อนใครกันแน่ บรรยากาศของหนังจะค่อยพาเราไปเริ่มจากความสงสัยกับปริศนาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่พยายามตามหากันและใช้วิธีการต่าง ๆ ในการหาทางออกไป จนไปสู่ความระทึกของฉากไล่ล่าที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายเรื่อง

 

รีวิว พงหลอนมรณะ

 

หนังเล่นกับความรู้สึกของคนโดยการใช้ความใจดีของคนที่จะเข้าไปช่วยอีกฝ่ายที่ติดอยู่ในพงหญ้าจนทำให้เกิดหลงข้างในนั้น สิ่งหนังที่ต้องการสื่อสารออกมาจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ ความหน้ากลัวของคนที่ขนาดสติ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพี่น้อง ปริศนาต้นกำเนิดของพงหญ้า กลุ่มคนที่พบในพงหญ้าคือใครกันแน่ ทำยังไงถึงจะออกไปจากนรกสีเขียวแห่งนี้ได้

in the tall grass พงหลอนมรณะ (คลิกรับชมได้ที่นี่) ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนวนิยายเรื่องสั้นของสตีเฟน คิง เรื่องราวของคู่พี่น้อง เบ็คกี้และคาลที่จอดรถกลางทาง แล้วได้ยินเสียงร้องของเด็กชายในทุ่งหญ้าสูง ทั้งสองรุดเข้าไปในทุ่งเพื่อช่วยเขา แต่กลับพบพลังชั่วร้ายที่ทำให้ต้องหลงทิศและพลัดหลงกัน หลังจากตัดขาดจากโลกภายนอกและหนีออกมาจากพลังดึงดูดของทุ่งแห่งนี้ไม่ได้ เบ็คกี้และคาลจึงได้รู้ว่าสิ่งที่เลวร้ายกว่าการหลงทางคือการที่มีใครสักคนเจอตัว ผลงานเรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดยวินเซนโซ นาตาลี ที่มีผลงานจากหนังสยองขวัญสุดคัลท์อย่าง Splice ที่จะมานั่งแท่นกำกับและดัดแปลงเรื่องสั้นผลงานจากปลายปากกาของ Stephen King และ Joe Hill ลูกชายของเขา เป็นหนัง Original Netflix อีกเรื่องที่มีใน Netflix จากเรื่องแรกที่ชื่อ 1922

 

รีวิว พงหลอนมรณะ

 

In The Tall Grass นั้นเป็นเรื่องสั้นในสไตล์ดั้งเดิมของ Stephen King แบบที่หลายคนคุ้นเคยกัน กับเรื่องราวน่ากลัวจากสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่เราพบเห็นกันอยู่ปกติทั่วไป มาคราวนี้เป็นทุ่งหญ้าที่สูงปกคลุมจนท่วมหัวตามริมทางข้างถนน แต่กลับกลายเป็นความสยองขวัญแบบไม่คาดคิด เมื่อ “ทุ่งหญ้าที่สูงท่วมหัวกลายเป็นดั่งเขาวงกตที่ไร้ทางออก”  จากนั้นก็เหมือนฝันร้ายเมื่ออะไรๆ ในทุ่งหญ้านี้เริ่มแปลกประหลาดเกินจินตนาการขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการได้ยินเสียงตัวเองในอีกห้วงเวลาหนึ่ง การพบกับเด็กชายลึกลับที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ อีกทั้งยังพบกับคนอื่นๆ ที่หลงอยู่ในทุ่งหญ้านี้มานานแสนนานเช่นกัน

 

รีวิว พงหลอนมรณะ

รีวิว in the tall grass พงหลอนมรณะปริศนาทั้งหลายนี้ก็เป็นไปตามสไตล์นิยายสตีเฟนคิง ซึ่งถ้าใครดูมาเยอะๆ ก็จะพอจับจุดได้ว่าคิงใช้มุกเดิมแนวพื้นที่อาถรรพ์มารีไรท์ใส่ในโลเกชั่นใหม่ อย่างล่าสุดที่พึ่งผ่านพ้นไปเดือนก่อนก็ IT กับเมืองที่มีอาถรรพ์ตัวตลกกินเด็ก หรืออย่าง Pet Sematary กลับจากป่าช้า ที่พึ่งรีเมคใหม่ปีนี้ ก็เป็นแนวพื้นที่ต้องสาปเช่นกัน ซึ่งกับหนังจากนิยายสตีเฟนคิงที่ทำออกมาติดๆ

กันช่วงหลังก็ดูจะซ้ำเดิมมากไปเหมือนกัน แต่ก็ต้องชมว่าในความซ้ำนั้นสตีเฟนคิงเก่งตรงเอาเรื่องง่ายๆ มาทำให้น่ากลัวเกินคาด ซึ่งพงหญ้ามรณะนี้ก็หลอนลึกลับน่ากลัวใช้ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องผีปีศาจที่อยู่ในทุ่ง เอาแค่ขอบใบหญ้าที่บาดผิว ความร้อน โคลน แมลงวัน อีกา ความร้อนจากดวงอาทิตย์ และฝนตกในเวลากลางคืน องค์ประกอบธรรมชาติเดิมๆ เหล่านี้ก็ทำให้คนดูรู้สึกระทึกขวัญหวาดระแวงว่าจะมีอะไรน่ากลัวในพงหญ้าที่แหวกไปตลอดเวลา

 

 

นอกจากองค์ประกอบธรรมชาติที่เรื่องนี้ทำได้ถึงแล้ว หนังยังพาเอาเรื่องราวของภูติผีปีศาจไม่ที่ปรากฎว่ามีตัวตนยังไงตามสไตล์สตีเฟนคิงมาไว้ที่พงหญ้าแห่งนี้ด้วย ซึ่งก็ดูเป็นสูตรสำเร็จแบบที่ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไรมาก หนังใช้การอธิบายนิดหน่อยให้คนไปจินตนาการต่อเองว่าเขาวงกตในทุ่งหญ้านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกันแน่ แม้ว่าจะดูลึกลับดี แต่ในอีกทางหนึ่งก็ดูเป็นอะไรที่ง่ายเกินไปหน่อย หนังไม่มีคำอธิบายแน่ชัดว่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในทุ่งหญ้าแห่งนี้ ดูจบแล้วก็ยังเป็นปริศนาเรื่องเล่าหลอนๆ ได้ต่อไป ไม่มีการจบแบบเคลียร์ปมอะไรทั้งสิ้น

 

 

นอกจากความน่ากลัวของพื้นที่เขาวงกตแล้ว หนังยังเล่นประเด็นหลักไปที่เรื่องความสัมพันธ์ของคนที่หลงในทุ่งหญ้าด้วยกัน จากที่ดูเหมือนคนใกล้ตัวเชื่อใจได้ แต่พอมาอยู่ในทุ่งหญ้านี้กลับกลายเป็นไม่น่าไว้วางใจ รวมถึงการเปิดความสัมพันธ์ที่ผูกโยงใยกันมาก่อน แล้วโดนทุ่งหญ้าแห่งนี้ลากมารวมกัน เพื่อชดใช้สิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป หนังผูกโยงใยตัวละครได้อย่างน่าสนใจ นักแสดงเล่นได้ดีทุกตัวละคร

ตั้งแต่เด็กน้อยเจ้าของเสียงที่ลากทุกคนเข้าไปมาอยู่ในทุ่ง หนังทำให้ดูไม่น่าไว้ใจตลอดเวลาว่าเด็กคนนี้เป็นอะไรกันแน่ รวมถึงพ่อของเจ้าหนูคนนี้ก็กลายมาเป็นตัวละครที่คาดเดาไม่ได้เช่นกัน แม้แต่ตัวเอกหลักจุดเริ่มต้นของเรื่องก็ด้วย หนังวางให้มีเบื้องหลังความสัมพันธ์ 3 คน พี่ชาย น้องสาว (ที่ท้องโตใกล้คลอด) อดีตคนรัก เป็นซับพล็อตเสริมให้เห็นว่าทุ่งหญ้านี้ช่วยเปิดสันดานดิบของมนุษย์ขึ้นมาอีกทาง นอกจากความน่ากลัวในตัวเขาวงกตของมันเอง

 

 

เหมือนว่าแค่นั้นยังไม่พอ หนังยังเล่นกับเรื่องห้วงเวลาจนกลายเป็นลูปเวลาซับซ้อน จนกลายเป็นหนังไซไฟสยองขวัญไปในตัวด้วย ซึ่งถ้าใครชอบแนวห้วงเวลาฆาตกรรมเหมือนอย่างเรื่อง Triangle เรือสยองมิตินรก เรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน และก็ดูจะให้อารมณ์ใกล้เคียงกันมาก (ถ้าใครไม่เคยดูแนะนำเลยห้ามพลาดครับ) ทำให้หนังเรื่องนี้มีอะไรที่ลึกลับกว่าที่ตัวอย่างเปิดเผยไว้เข้าไปอีก ดูหนังใหม่

แม้ว่าความความสยองขวัญน่ากลัวจะทำได้ถึง ไม่เสียเครดิตที่เอาชื่อสตีเฟน คิงมาแปะไว้ แต่หนังกลับพลาดที่ยืดเยื้อเรื่องราวมากจนเกินพอดี หนังใช้เวลานานมาก วกวนอยู่ในเรื่องราวปริศนาที่ไม่ได้ตั้งใจให้มีเฉลยเคลียร์ปมชัดเจนจนน่าเบื่อ แถมช่วงหลังหนังใช้ช่วงเวลากลางคืนมาเล่นยาวนานมากไป ต่างกับตอนเริ่มที่หนังใช้ความน่ากลัวแบบกลางวันแสกๆ ซึ่งทำได้ดีกว่าฉากเวลากลางคืน ที่ถ่ายทำออกมามืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น กลายเป็นรู้สึกว่าตอนแรกทำได้ดีกว่าตอนหลังมาก แต่ก็ยังดีที่หนังมีกลับไปช่วงเวลากลางวันสลับไปมาจนจบเรื่อง ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกตอนกลางวันกลับน่ากลัวกว่ากลางคืนอย่างชัดเจน

 

พงหลอนมรณะ

หนังไม่ได้ใช้แค่เรื่องราวในทุ่งหญ้าเล่าเรื่องเท่านั้น ยังมีการออกไปด้านนอกที่โบสถ์ลึกลับตรงข้ามฝั่งถนน ซึ่งก็เหมือนเป็นปริศนาที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวในทุ่งหญ้า แต่กลับให้เวลาในส่วนนี้น้อยมากไปจนทำให้ตอนจบสุดท้าย เราก็ยังไม่ได้เข้าใจความเกี่ยวข้องของสองที่นี้ดีพอ ทำให้ฉากจบออกจะงงๆ ปะติดปะต่อไม่ถูก แต่ถ้ามองในมุมหนังที่เล่นเรื่องห้วงเวลาเป็นหลักมักจะจบแนวๆ นี้ทุกเรื่อง ซึ่งก็ถือว่าพอรับได้ ไม่ได้ทำให้ in the tall grass กลายเป็นหนัง Netflix ที่คนมักยี้ว่าขึ้นต้นดีแล้วจบห่วยไปอีกเรื่อง

เท่าที่ผมสังเกตุหลังๆ หนังออริจินอล Netflix มีพัฒนาการที่ดีขึ้น เรื่องนี้ก็เช่นกัน นี่เป็นหนังที่เล่นกับเรื่องราวเล็กๆ ที่ทำได้มากกว่าที่เห็นในตัวอย่างมากพอดูเหมือนกัน เรียกว่าดูได้ไม่ผิดหวังมาก แต่ถ้าจะหวังความสมบูรณ์ระดับเรื่อง IT อะไรแบบนี้คงไม่ได้ขนาดนั้นครับ

 

 

หากพูดถึงหนังสไตล์ลึกลับๆหน่อย ก็คงหนีไม่พ้นเจ้าพ่อนักเขียนอย่าง “สตีเฟน คิง” กันใช่ไหม? ต้องเรียกได้ว่าถ้าเป็นหนังสไตล์นี้มันค่อนข้างมีสเหน่ห์อยู่ในตัวของมันอยู่นะ อย่างในวันนี้เรื่องที่เราจะพามารับชม พร้อมไปกับการรีวิวหนังให้ทุกคนทราบกันกันใน รีวิว พงหลอนมรณะ (In the Tall Grass) นั่นเอง

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ “เบ็คกี้” และ “คาล” สองพี่น้องที่ต้องจอดรถตรงทุ่งหญ้าระหว่างทาง เนื่องจากเบ็คกี้มีอาการแพ้ท้องขึ้นมา โดยหลังจากที่เบ็คกี้และคาล กำลังจะขึ้นรถเพื่อออกเดินทางต่อ พวกเขาก็ได้ยินเสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากในทุ่งหญ้า นั่นทำให้สองพี่น้องคู่นี้ตัดสินใจที่จะเข้าไปช่วยเหลือให้เด็กออกมาจากพงหญ้าที่สูงท่วมหัวนั้นให้ได้ แต่พวกเขากลับพบว่าในพงหญ้านั้นมีพลังชั่วร้ายแอบซ่อนอยู่ และทำให้พวกเขาทั้ง 2 คนต้องพลัดหลงกัน ซึ่งการหาทางออกจากพงหญ้านั้นเหมือนเป็นการหาทางออกจากเขาวงกตเสียอย่างนั้น เรื่องราวเริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาเริ่มได้ยินเสียงตัวเองจากในอีกห้วงเวลาหนึ่ง เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อนั้น ต้องไปรับชมกันต่อในหนังได้เลย

 

 

เอาจริงๆ ถ้าคิดจะดูหนังเรื่องนี้ อย่าไปคิดอะไรมาก คือเราดูไปตามเนื้อเรื่องเรื่อยๆ อย่าไปคิดหาเหตุผลอะไร เพราะถ้าเรามัวแต่หาเหตุผลว่า อันนี้มันคืออะไร มาจากไหน เราก็จะเข้าไม่ถึงอารมณ์ในสิ่งที่ตัวหนังต้องการจะสื่อ สำหรับเรานะ เราว่าหนังเรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะโอเคอยู่นะ ถึงแม้เนื้อเรื่องมันจะไม่มีอะไรมาก แต่มันก็สามารถทำให้เราลุ้นตามตัวละครไปได้ตลอดทั้งเรื่องเลย อีกทั้งหนังยังมีการเล่นกับเรื่องของมิติเวลาอีกต่างหาก เรียกได้ว่าดูได้เรื่อยๆเพลินๆดี ดูหนังฟรี