รีวิว มอร์เบียส

 

 

หนังใหม่ netflix เรียกได้ว่ารอบปีทีผ่านมานี้เป็นปีที่ดีดจัด ๆ ทั้งของ Sony และ Columbia Pictures ก็ว่าได้ครับ เพราะที่ผ่านมาในรอบไม่ถึงครึ่งปี กลับมีหนังจากจักรวาล Spider-Man ให้ได้ดูถึง 3 เรื่องแน่ะ ทั้งภาคต่อปีศาจวีนอมใน ‘Venom: Let There Be Carnage’ (2021) หนังปิดไตรภาคสไปเดอร์-แมนใน ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) ที่สร้างความกรี๊ดกร๊าดประทับใจคนดู จนกลายเป็นภาพยนตร์ที่กวาดรายได้สูงสุดในช่วงโควิด-19 ไปแล้ว ณ ตอนนี้

รวมทั้ง ‘Morbius’ (มอร์เบียส) เรืื่องนี้นี่แหละครับ ที่เลื่อนตารางฉายหนีพี่โควิด-19 มานานเกือบจะหนึ่งปี ในที่สุด โซนี่ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวฮีโรวายร้ายตัวใหม่ เจ้าของฉายา ‘แวมไพร์ที่มีชีวิต’ (The Living Vampire) ซึ่งจริง ๆ แล้ว มอร์เบียสเองเคยเกือบจะได้เป็นวายร้ายในภาพยนตร์ฮีโรครึ่งมนุษย์ครึ่งแวมไพร์ ‘Blade 2’ (2002) เวอร์ชันเฮีย ‘เวสลีย์ สไนปส์’ (Wesley Snipes) แล้วด้วยนะครับ แต่ว่าพอมีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับกะทันหัน แวมไพร์ตนนี้ก็เลยถูกดองยาว ไม่ได้แจ้งเกิดบนแผ่นฟิล์มเสียที

 

รีวิว มอร์เบียส

 

จนมาถึงปีนี้แหละ ที่โซนี่เลือกหยิบฮีโรวายร้ายตัวนี้มาสร้างเพื่อสานต่อแนวทางแอนตีฮีโร (และผู้เขียนก็เดาเองว่า น่าจะเป็นการปลุกปั้นทีม Sinister Six 6 วายร้ายจักรวาลสไปเดอร์-แมน ในอนาคตแหง ๆ ) และได้ผู้กำกับที่เป็นแฟนการ์ตูน Marvel อย่าง ‘แดเนียล เอสปิโนซา’ (Daniel Espinosa) ที่เคยกำกับภาพยนตร์ ‘Life’ (2017) และ ‘Safe House’ (2012) มาร่วมกำกับภาพยนตร์ฮีโรแวมไพร์ตัวแรกของจักรวาลสไปเดอร์-แมนด้วย

เนื้อเรื่องว่าด้วยเรื่องของ ‘ดร.ไมเคิล มอร์เบียส’ (Jared Leto) นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการป่วยด้วยโรคเลือดมาตั้งแต่ยังเด็ก เขามีเป้าหมายที่จะค้นคว้าหาวิธีในการสร้างยาที่จะรักษาตัวเอง และเพื่อนร่วมโรคอย่าง ‘ไมโล / ลูเซียส คราวน์’ (Matt Smith) ให้หายจากโรคหายากนี้เสียที โดยมีนักวิทยาศาสตร์สาวคู่รักอย่าง ‘ดร. มาร์ทีน แบนครอฟตฺ์’ (Adria Arjona) เป็นผู้ช่วยเหลือ แต่ในระหว่างที่เขากำลังทำการรักษาโดยใช้ค้างคาว เขากลับพบว่าตัวเองกลายเป็นปีศาจแวมไพร์กระหายเลือด เขาจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมความบ้าคลั่งของตนเองให้จงได้ ดูหนังฟรี

คือเอาจริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่า เสียงวิจารณ์ในแง่ลบจากต่างประเทศต่อหนังเรื่องนี้มันช่างหนาหูเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะ 2 จุดที่นักรีวิวต่างประเทศส่วนใหญ่ที่รุมโจมตีหนังเรื่องนี้กันแบบสามัคคีก็คือ บทที่มีปัญหา กับซีจีงานหยาบ ผู้เขียนเองแม้จะพยายามปิดหูปิดตา และพยายามคิดว่า มันก็คงอีหรอบเดียวกับ Venom นั่นแหละ คือดูเอาแอ็กชันและตลกแบบกาว ๆ พอได้ จะหวังให้ Hype ประทับใจเหมือนสไปเดอร์-แมนที่ฉายปลายปีที่แล้วคงจะยากเกินฝันไปหน่อย

 

รีวิว มอร์เบียส

 

เอาอย่างแรกก่อนครับ เรื่องซีจี เอาจริงแล้วซีจีหนังเรื่องนี้ ผู้เขียนเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันงานหยาบอะไรถึงขนาดนั้นนะครับ เอาจริง ๆ ในแง่โปรดักชันโดยรวม ๆ ทั้งการถ่ายภาพ มุมกล้อง แม้ผู้เขียนเองจะแอบรำคาญออราม่วง ๆ ตอนที่มอร์เบียสกำลังแปลงกาย (ที่ผู้กำกับบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากโปเกมอน!) อยู่บ้างก็ตาม คือมันดูลายตาน่ะครับ ยิ่งออราออกมาเยอะยิ่งลายตาหนักเลย แต่ซีจี โปรดักชัน และฉากแอ็กชันโดยรวมก็ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานหนังฮีโรยุคนี้ ไม่ได้มีจุดไหนงานหยาบจนถึงขั้นทุเรศทุรัง

ส่วนในแง่ของพล็อตและบท เอาจริง ๆ ผู้เขียนออกจะชอบตัวพล็อตของหนังนะครับ เพราะตัวพล็อตสามารถดึงเอาแกนจากต้นฉบับคอมิก ที่วางให้มอร์เบียส ไม่ได้เป็นฮีโรที่ต้องออกไปต่อสู้ปกป้องโลก เน้นแอ็กชันแพรวพราวเหมือนฮีโรตัวอื่น ๆ แต่เป็นหนังฮีโรที่เน้นดราม่าสู้ชีวิต (แต่ชีวิตสู้กลับ) ต้องต่อสู้กับโรคร้ายและจิตใจด้านมืดของตัวเอง ที่สามารถเปลี่ยนจากคุณหมอผู้อ่อนโยน กลายเป็นปีศาจสุดน่ากลัวได้ทุกเมื่อ เป็นพล็อตการต่อสู้เล็ก ๆ ที่ถือว่าโอเคเลยแหละ แต่สุดท้ายตัวบทเองนี่แหละครับที่มีปัญหาอย่างแรง อย่างที่สื่อต่างประเทศเขารีวิวกันนั่นแหละ

 

รีวิว มอร์เบียส

ความเลวร้ายอีกจุดของบทก็คือ การไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องราวเอาไว้อย่างเพียงพอจริง ๆ มันก็เลยกลายเป็นว่า การดำเนินเรื่องดูจะไม่ได้ทิ้งปมประเด็นอะไรไว้อย่างชัดเจนนัก จะเล่าเรื่องการต่อสู้กับปีศาจภายในใจตัวเอง หรือเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของมอร์เบียส มาร์ทีน และไมโล ก็ดูจะไม่ลงลึกเท่าไหร่ การปูเรื่องพลังพิเศษของมอร์เบียสก็ยังไม่รอบด้านดี (อยู่ดี ๆ ก็มีพลังแปลก ๆ ที่ไม่รู้จักโผล่มาท้ายเรื่อง)

ตรรกะในการเลือกสังหารคนของมอร์เบียสก็ดูงง ๆ การใส่ฉากที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม แถมเป้าหมายและแรงจูงใจของตัวละครก็ดันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเมื่อเข้าช่วงไคลแม็กซ์ในองก์สุดท้ายไปเสียอีก กลายเป็นว่าตัวหนังเล่าอะไรได้ไม่สุดสักอย่าง และตัดจบแบบดื้อ ๆ เลย จนพาให้งงว่า ตกลงพี่บ่าวจะเอาอะไรนิ แถมยังพาให้แกนหลักของหนังที่อุตส่าห์วางไว้อย่างดี พังพินาศยับเยินอีกต่างหาก ดูหนังใหม่

 

รีวิว มอร์เบียส

 

ถ้าจะมีจุดให้ชื่นชมอยู่บ้างก็ต้องชื่นชมนักแสดงหลักทั้ง ส่วน ‘แมตต์ สมิธ’ (Matt Smith) ผู้รับบท ‘ไมโล / ลูเซียส คราวน์’ ก็ถือว่าแสดงได้เข้ากับคาแรกเตอร์แบดบอยดีไม่หยอก และ ‘จาเรต เลโต’ (Jared Leto) เจ้าของบท ‘มอร์เบียส’ นี่แหละครับ ที่รับหน้าแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้แบบหลังแอ่นด้วยคาแรกเตอร์ที่เข้าถึงมากๆ ทั้งตอนเป็นคุณหมอผู้อ่อนโยน และเป็นแวมไพร์ได้อย่างน่ากลัว ที่พอจะพาให้หนังยังพอดูได้แบบเพลิน ๆ

ซึ่งการแบกแบบหลังแทบหักทั้งๆ ที่บทป่วยขนาดนี้ก็แอบสงสารพี่จาเร็ตเหมือนกันนะครับเป็น ‘Joker’ ในจักรวาล DC (‘Suicide Squad’ (2016) ก็ไม่ได้แจ้งเกิด (จนต้องกลายมาเป็นภาพประกอบคำคม)พอข้ามมาอยู่ Marvel กะว่าจะมาเปิดตัวแบบเต็มๆ ก็กลับโดนบททำร้ายซะเละเทะแพ้ทางหนังฮีโรแท้ๆ เลยพ่อคุณ

 

 

โดยสรุป แม้ ‘Morbius’ จะมีคาแรกเตอร์และพล็อตที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายตัวบทนี่แหละที่ทำให้ตัวหนังทั้งเชยและขาดเสน่ห์ จนดูเหมือนว่าจะไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์ และวางที่ทางของตัวเองในจักรวาลสไปเดอร์-แมนได้สำเร็จ บทป่วย ๆ ทำให้หนังกลายเป็นเพียงหนังซูเปอร์ฮีโรแบบ Old School ที่ถอดคาแรกเตอร์จากคอมิก แล้วก็เล่าเรื่องตามสูตรแบบเด๊ะ ๆ โดยที่ไม่ได้เพิ่มมิติให้กับตัวละคร สอดแทรกประเด็นซีเรียสเหมือนหนังฮีโรยุคปัจจุบัน หรือเพิ่มเสน่ห์เฉพาะตัวให้มีความน่าจดจำได้สักเท่าไหร่

ซึ่งเอาเข้าจริง ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ในฐานะหนังแอ็กชันฮีโรเพลิน ๆ ตะลุยดะไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก ก็ถือว่าพอจะถูไถได้อยู่ล่ะนะครับ แต่ถ้าคุณผู้อ่านเป็นคนที่อินกับความเป็น Marvel และอยากดูเพื่อเชื่อมจักรวาลสไปเดอร์-แมน ซึ่งอันที่จริงมันก็พอจะเชื่อมได้ (ด้วย End Credits ตัวที่ 2) นั่นแหละครับ แต่ถ้าจะดูเพื่อความ Hype ว้าวซ่าน้ำตาแตก ชนิดที่ว่าเดินออกมาจากโรงแล้วคันปากอยากสปอยล์ แนะนำให้ไปดู ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) หรือไม่ก็ข้ามจักรวาลไปดู ‘The Batman’ (2022) อีกซักรอบน่าจะดีกว่าครับ

 

 

ในช่วงเวลาประมาณ​เดือน​มีนาคม​ เมษายน​ ไปจนถึงพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเทศกาลหนังก็ว่าได้นะครับ​ เพราะว่าทุกอาทิตย์เนี่ยจะมีหนังดี ๆ เข้าให้ชมค่อนข้างจะต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ในช่วงเมษายนต่อพฤษภาคม จะเป็นช่วงที่หนังบล็อกบัสเตอร์เข้าฉายค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นจะเป็นโอกาสดีมาก ๆ ที่จะมีหนังให้คนได้ชมเพื่อความบันเทิงมากมาย อย่างสัปดาห์นี้ก็มีหนังซุปเปอร์ฮีโร่ เข้าฉายอย่าง Morbius ครับ

Morbius เป็นหนึ่งใน หนังของ Marvel comics ที่ยังไม่ได้กลับไปสู่จักรวาลหลักที่อยู่ภายใต้สังกัดของ Walt Disney เพราะฉะนั้น Morbius จึงเป็นหนังที่ถูกสร้างโดยค่าย Sony ที่พยายามจะสร้างจักรวาลของสไปเดอร์แมนขึ้นมา โดยภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย​ Daniel Espinosa และได้ จาเร็ด​ เลโต้ มารับบทเป็นคุณหมอไมเคิล มอน์เบียส เว็บดูหนัง

มอร์เบียส

สำหรับ Morbius ถ้าเป็นแฟน Comic Spider-man คงจะรู้จักกันดีในฐานะตัวร้ายหลักตัวหนึ่งที่ถือเป็นคู่ปรับสำคัญของสไปเดอร์แมน แต่คนดูหนังที่ไม่ได้ตามคอมมิคหรือคนทั่ว ๆ ไปคงจะไม่รู้จักตัวละครตัวนี้​

โดยหนังจะเล่าเรื่องของคุณหมอไมเคิล มอร์เบียส ที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับเลือดที่พยายามรักษาตัวเอง คุณหมอจึงพยายามทำการทดลองต่างๆ เพื่อทำให้ตัวเองหายจากโรคดังกล่าว​  จนนำไปสู่ผลข้างเคียงที่ทำให้คุณหมอ กลายเป็น anti-hero ที่ชื่อว่า morbius

 

 

ในการรีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้ผมขอแบ่งความรู้สึกในการรีวิวออกเป็น 3 ช่วงนะครับ ความรู้สึกแรกคือความรู้สึกก่อนที่จะเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่อง morbius ช่วงที่ 2 เป็นช่วงความรู้สึกขณะกำลังดูภาพยนตร์ และช่วงที่ 3 คือความรู้สึกหลังจากภาพยนตร์จบ

ในความรู้สึกที่ก่อนชมภาพยนตร์ ตอนที่รู้ว่าจาเร็ด เลโต้​จะได้รับบทเป็น morbius ผมค่อนข้างที่จะรู้สึกดีนะครับ​ เพราะเห็นแกล้มเหลวมาจากบทโจ๊กเกอร์ใน Suicide Squad จากฝั่ง​  DC​ จึงอยากให้แกมาล้างบาปในหนังของฝั่ง Marvel

ซึ่งแนวโน้มและข่าวก่อนที่หนังจะเข้าฉายถูกกล่าวไปในทางบวกหรือคาดหวังความดีงามเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อหนังเข้าฉายในรอบสื่อ คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ที่ออกมา ต้องใช้คำว่ายับเยิน​

 

 

แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อคะแนนในเว็บมะเขือฝั่งนักวิจารณ์เท่าไหร่​ เพราะเมื่อได้เห็นคะแนนลักษณะแบบนี้ มันจะมีอยู่ 2 แบบ คือหนังมันแย่จริง ๆ​ แบบ Suicide Squad กับอย่างที่สองคือหนังไม่ถูกใจนักวิจารณ์แต่อาจจะถูกใจคนดู​ เหมือนที่ Venom เคยทำได้ เพราะฉะนั้น เมื่อผมเข้าไปดูจึงพยายามปล่อยวางที่สุดและไม่คาดหวังอะไรจากหนังเรื่องนี้

กระทั่งในช่วงที่ผมกำลังดูหนัง ความรู้สึกของผมในตอนดูหนังคือ Morbius แทบจะเดินเรื่องตามขนบของหนังฮีโร่ในยุคบุกเบิก ความรู้สึกเหมือนเราดูหนังฮีโร่เมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว อย่างสไปเดอร์แมน ของโทวบี​ แม็คไกวร์ หรือดูฮัล์คที่ยังอยู่ภายใต้สังกัดของยูนิเวอร์แซล  หรือแม้แต่ไอรอนแมน​ ภาคแรก คือ

 

 

เริ่มต้นจากการเล่าเรื่องว่า ฮีโร่ตัวนี้ได้พลังมาจากอะไร แล้วก็เรียนรู้พลัง จากนั้นก็พูดถึงตัวร้ายที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด​กับตัวละครเอก แล้วก็ไปจนถึงจุดแตกหัก เรียกว่าแทบจะไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยสำหรับการเดินเรื่องของ Morbius

ในขณะที่องค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกราฟิกฉากแอ็คชั่นการต่อสู้ ที่ควรจะเป็นตัวชูโรงอีกที่ดี แต่กับกลายเป็นว่าไอ้การที่เราได้เห็นอะไรที่มันแปลกใหม่ หวือหวาจากหนังฮีโร่ก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น มิติกระจกของ Doctor strange หรือ ฉากกราฟฟิก ของมิสเตริโอ เราจึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับเทคนิคมน Morbius มากนัก ดูหนังฟรี