รีวิว สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

 

 

หนังใหม่ เรื่องย่อ เป็นครั้งแรกที่ ‘Spider-Man’ ไม่ต้องซ่อนตัวใต้หน้ากากอีกต่อไป และเขาไม่สามารถแยกชีวิตในฐานะซูเปอร์ฮีโรออกจากชีวิตปกติได้อีกต่อไป เมื่อเขาไปขอให้ด็อกเตอร์สเตรนจ์ช่วยเหลือ แต่มันกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิม บังคับให้เขาต้องหาทางแก้ไขและหาความหมายของการเป็นสไปเดอร์แมน หนังเรื่องนี้จะแนะนำสิ่งที่เรียกว่า Multiverse ในจักรวาลมาร์เวลอย่างเป็นทางการ พร้อม ๆ กับวายร้ายจากทั้ง ‘Spider-Man’ และ ‘The Amazing Spider-Man’ ก็จะมาปรากฎตัวด้วยเช่นกัน

 

รีวิว สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

 

ดูเหมือนว่าชะตากรรมของเพื่อนบ้านผู้แสนดีอย่าง ‘สไปเดอร์-แมน’ จะเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นทุกทีๆ ครับหลังจากที่รับงานฮีโรระดับเบอร์รองมาแล้วใน 2 ภาคก่อนภาคนี้ในฐานะที่เป็นหนังในช่วงต้นของ MCU ในเฟส 4 ที่กำลังเดินหน้าปูพื้นเรื่องราวแบบ ‘พหุจักรวาล’ หรือ ‘มัลติเวิร์ส’ (Multiverse) เพื่อขยายขอบเขตวิธีการเล่าเรื่องให้กว้างกว่าแนวแอ็กชันแบบเดิม ซึ่งตอนนี้มีซีรีส์ใน Disney+ ที่ปูพื้นเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วทั้ง ‘Loki’ และแอนิเมชัน ซึ่งซีรีส์ทั้งสองเรื่องนี้เป็นตัวสรุปอย่างชัดเจนว่ามัลติเวิร์สคือแกนหลักสำคัญและความโกลาหลครั้งใหญ่ที่เหล่าฮีโรต้องรับมือให้ได้ซึ่งในหนังเรื่องนี้ก็ดูเหมือนว่าความโกลาหลนั้นได้ปรากฏชัดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างแล้วและไอ้แมงมุมก็ถือว่าเป็นฮีโรตัวแรกๆ ที่ต้องรับผลแห่งความโกลาหลนี้แบบชัด ๆ

ส่วนเรื่องราวในภาคนี้ก็จะเล่าต่อจาก End Credits ตัวแรกที่ทิ้งเอาไว้ในภาคก่อนหน้า (Spider-Man: Far From Home (2019)) ซึ่งถ้าใครที่ยังไม่ได้ดูก็ต้องขอเบรกให้ไปหาดูก่อนให้เรียบร้อยก่อนนะครับ (ทั้งสองภาคมีให้ดูใน HBO GO) เพราะว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้จะเริ่มต้นมาจาก End Credits ตัวนั้นแหละ หลังจากที่สไปเดอร์แมนสามารถโค่น ‘มิสเทริโอ’ (Jake Gyllenhaal) ได้สำเร็จ

 

รีวิว สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

 

มิสเทริโอก็วางระเบิดตูมสุดท้ายด้วยการปล่อยคลิปเฟกนิวส์ผ่านจอ LED ที่กล่าวหาว่าปีเตอร์เป็นคนสังหารเขาอย่างป่าเถื่อน กล่าวหาว่าปีเตอร์โอ่อ้างจะเป็นไอรอนแมนคนถัดไป ข่าวนี้ยังไปถึงหู ‘เจ. โจนาห์ เจมส์สัน’ (J.K. Simmons) นักข่าวสำนักข่าวออนไลน์ TheDailyBugle.net ออกมาแฉ (จากข้อมูลของมิสเทริโอ) จนทำให้คนทั้งโลกรู้กันไปทั่วว่าสไปเดอร์แมนคือปีเตอร์ ปาร์คเกอร์

และในภาคนี้ แน่นอนว่า ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เพื่อนบ้านที่แสนดี ถูกภัยเฟกนิวส์ตราหน้าจนทำให้ใช้ชีวิตยากลำบากกว่าเดิม แถมพาให้คนรอบข้างทั้งคนรักอย่าง ‘เอ็มเจ’ (Zendaya) เพื่อนซี้สาย Geek อย่าง ‘เน็ด ลีดส์’ (Jacob Batalon) และ ‘ป้าเมย์’ (Marisa Tomei) ต่างพากันเดือดร้อนกันไปด้วย ปีเตอร์เลยจำต้องไปขอความช่วยเหลือกับหมอแปลก ‘ดอกเตอร์สเตรนจ์’ (Benedict Cumberbatch) เพื่อให้ช่วยร่ายมนต์ลบความทรงจำของผู้คนว่าปีเตอร์ ปาร์คเกอร์คือสไปเดอร์-แมน แต่ด้วยความผิดพลาดบางอย่าง ผลก็คือทำให้วายร้ายจากมัลติเวิร์สหลุดเข้ามาปั่นป่วนโลกของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับจักรวาล ดูหนัง

 

 

รีวิว สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

ในแง่ของการดำเนินเรื่องในภาคนี้ก็ยังคงมีรสชาติ กลิ่นอาย และธีมของหนังจากภาคก่อนๆ อยู่นะครับโดยเฉพาะองก์แรกซึ่งผู้กำกับอย่าง ‘จอน วัตต์ส’ (Jon Watts) ที่รับเหมากำกับแฟรนไชส์หนังชุดนี้มาจนกลายเป็นไตรภาคแล้วก็ยังคงคุมสีสันความเป็นหนังวัยรุ่นที่แฝงเรื่องราวแบบฉบับของวัยว้าวุ่น สิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ มุกฮา ๆ วีรกรรมห่าม ๆ และหนังสไตล์ Coming Of Age ซึ่งพอมาถึงภาคนี้ต้องชื่นชมวิธีการเล่าเรื่องเป็นอย่างแรกเลยครับเพราะว่าตัวหนังสามารถไต่ระดับการเล่าจากเล็กไปหาใหญ่ และใหญ่ระดับจักรวาลได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนมาก นั่นอาจจะทำให้การเดินเรื่องในองก์แรกช้าอยู่บ้างโดยมีฉากแอ็กชันคอยกระตุ้นกราฟอยู่เนืองๆ แต่ตัวบทก็ถือว่าทำได้ฉลาดและไหลลื่นไม่สะดุดตรงไหนให้กวนใจเลย

 

รีวิว สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

 

รวมทั้งการที่ตัวบทเริ่มจะกระชับพื้นที่โดยไม่ไปเล่าถึงตัวละครและภารกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นฮีโรของปีเตอร์มากนักเหมือนอย่างในภาคที่แล้วทำให้ตัวหนังจะเริ่มโฟกัสเฉพาะภารกิจของปีเตอร์ เอ็มเจ เน็ด หมอแปลกเหล่าวายร้ายทั้ง 5 และป้าเมย์เท่านั้น อีกจุดที่ถือว่าฉลาดคือต่อให้ตัวหนังในครึ่งหลังจะเริ่มบิดไปเป็นหนังแอ็กชันแบบเต็มสูบแต่หนังก็ยังรักษาแกนการเล่าเรื่องแบบ Coming Of Age ที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้อยู่นั่นก็คือเรื่องของการพยายามจะลบความทรงจำของผู้คนนั่นเอง เพราะนอกจากปีเตอร์จะต้องรับผลพวงจากความผิดพลาดจากการร่ายมนต์แล้วเขายังต้องรับผลพวงใหญ่ในการบังอาจไปแทรกแซงมัลติเวิร์ส และตอนท้ายก็ลากเส้นมาขมวดจบที่ปีเตอร์เองก็ต้องยอมรับผลกระทบที่เกิดจากการพยายามลบความทรงจำนั้นด้วย

Coming Of Age ในคราวนี้จึงไม่ใช่แค่การต่อสู้กับวายร้ายเท่านั้น แต่ยังต้องยอมรับทางเลือกที่เขาเองได้เลือกไว้ด้วย ซึ่งตรงนี้ต้องขอชื่นชมว่าสามารถคงแก่นแกนนี้เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ปูเรื่องและตามมาเก็บกลับได้อย่างสะเทือนใจเรียกน้ำตามาก ๆ แถมยังเป็นการทิ้งท้ายได้อย่างน่าสนใจและน่าคิดต่อไปด้วยว่า จากนี้ ชีวิตของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ที่เลือกเส้นทางนี้และยอมรับผลของมันแต่โดยดี จะยังคงดำเนินชีวิตในฐานะปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ และในฐานะสไปเดอร์-แมนต่อไปได้อย่างไร ภายใต้บทสรุปชีวิตโคตรจะสะเทือนใจขนาดนั้น ดูหนังออนไลน์

 

 

แต่ในคราวนี้การเปิดมัลติเวิร์สทำให้ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อต้องเผชิญกับตัวร้ายระดับบิ๊กในพหุจักรวาลอื่นแถมเอาเข้าจริงแม้จะมีหมอแปลกมาช่วยในภาคนี้แต่ด้วย ‘เหตุผลบางอย่าง’ ก็ทำให้หมอแปลกไม่ได้ถึงกับช่วยได้ในระดับที่ป๋าโทนี่ช่วยแบบในภาคก่อนๆ ผลก็คือตัวปีเตอร์เองก็จะเติบโตขึ้นกลายมาเป็นฮีโรตัวจริง และต้องรับบท “ผู้นำการต่อสู้” รับมือกับเหตุการณ์ระดับมัลติเวิร์สด้วยตัวเอง และก็ถือว่าเป็นการปูทางสู่มัลติเวิร์สใน MCU เฟส 4 ได้ดีและเห็นภาพได้ชัดยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย

และสำหรับใครที่เป็นพ่อยกแม่ยกน้องทอม ฮอลแลนด์ ก็ต้องขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งนะครับ เพราะว่าในภาคนี้น้องทอมโตแล้วการแสดงของทอม ฮอลแลนด์ในภาคนี้ถือว่ากินขาดและเป็น MVP ของหนังจริงๆ ฝีมือการแสดงและการแสดงอารมณ์สะเทือนใจในเรื่องนี้ของเขาเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นเลยว่า น้องทอมโตขึ้นจนสามารถเห็นริ้วรอยความสับสนในชีวิตช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจากวัยรุ่นมัธยมสู่วัยมหาวิทยาลัย และโตขึ้นท่ามกลางความรับผิดชอบของสไปเดอร์-แมนที่ใหญ่ขึ้น (และจะใหญ่ยิ่งขึ้นกว่านี้แน่นอน)ของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ได้อย่างแท้จริงจนผู้เขียนแอบเชื่อไปแล้วว่าหลังจบไตรภาคนี้ ทอม ฮอลแลนด์จะมีภาพการเป็นสไปเดอร์-แมนแบบติดหนึบแยกไม่ออก

 

 

นอกจากน้องทอมและทีมนักแสดงรอบข้างผู้เขียนเองก็ต้องชื่นชมเหล่าน้าๆ 5 วายร้ายที่กลับมารับบทตัวร้ายที่ทะลุจักรวาลมานะครับแม้ว่าเวอร์ชันดั้งเดิมของพวกเขาจะห่างจากหนังเรื่องนี้ไปนับสิบๆปีแต่พวกเขาก็สามารถกลับมาสวมตัวร้ายที่ตัวเองเคยรับบทบาทเอาได้อย่างไม่ทิ้งลายจริงๆ และที่สำคัญคือการวางบทบาทให้ตัวละครทั้งห้า ในพล็อตที่มีตัวละครยุ่บยั่บวุ่นวายไปหมด แต่ตัวละครทั้งหมดถูกจัดสรรปันส่วนได้ออกมาดีมากๆและแปลกมากที่ไม่ได้ไปแย่งซีนสไปดีน้องทอมเลยแม้แต่น้อยแต่ถ้าให้เลือกว่าคนไหนท็อปสุดผู้เขียนขอยกให้คุณน้า ‘Willem Dafoe’ เจ้าของบท ‘กรีน ก็อบลิน’ ครับแม้ว่าจะชราไปตามวัยบ้างแต่ก็ยังสามารถรับบทวายร้ายจิตหลุดได้น่ากลัวมากๆ เหมือนที่เคยดูใน ‘Spider-man’ (2002) อย่างไรอย่างนั้นเเลย

 

 

และที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้ก็คือมุกฮา ๆ ครับ ในภาคนี้ต้องเรียกได้ว่าใส่มุกฮาและตลกร้ายจังหวะนรกมาได้อย่างร้ายกาจมาก และโดยเฉพาะมุกมาจากมัลติเวิร์ส ซึ่งก็จะมีการสอดแทรกบทที่เกี่ยวพันกับหนังไอ้แมงมุมคลาสสิกทั้งสองเวอร์ชัน เรียกว่าเป็นมุกที่เรียกเสียงฮาเอาใจแฟนบอยโดยเฉพาะเลย ทั้งมุกคำพูดที่อ้างเอ่ยถึง รวมถึงการแอบใส่ซีนที่ใช้แรงบันดาลใจจากหนังเวอร์ชันคลาสสิก (ที่แฟนบอยดูแล้วเก็ตแน่นอน) รวมทั้งเซอร์ไพรส์อื่นอีกต่าง ๆ นานาที่เรียกได้ว่าเยอะมากในระดับที่จะทำให้แฟน ๆ สไปดีดูแล้วกรี๊ดแตกได้อย่างแน่นอน ดูหนัง 4k

 

สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

จริงๆ ถ้าจะมีข้อสังเกตอยู่บ้างก็ถือว่าเป็นจุดเล็กๆ น้อยๆ นะครับอย่างแรกคือตัวบทสามารถไล่พล็อตจากเล็กไปหาใหญ่ได้ดีมากๆ เพราะฉะนั้นมันก็แอบจะเลี่ยงไม่ได้อยู่เหมือนกันที่จะทำให้การดำเนินเรื่องในองก์แรกนั้นค่อนข้างค่อยเป็นค่อยไปอยู่สักหน่อย แม้ว่าจะมีฉากแอ็กชันคอยกระตุกกราฟอยู่บ้างแต่ตัวเรื่องในองก์แรกก็ถือว่าค่อนข้างช้าเลยแหละ ซึ่งมันก็คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ภาคนี้ยาวที่สุดถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง สองคือตัวฉากแอ็กชันครับ จริงๆ โดยรวมก็ถือว่าเป็นฉากแอ็กชันที่ทำได้ดีงามตามมาตรฐานของ จอน วัตต์ส ที่ทำไว้กับทั้งสองภาคนะครับ เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ถึงกับว้าวซ่าอะไรขนาดนั้นส่วนตัวผู้เขียนแอบชอบการเผชิญหน้าระหว่างสไปดีกับหมอแปลกมากกว่าแฮะ

 

 

โดยภาพรวม ‘Spider-Man : No Way Home’ ยังคงรักษามาตรฐานของหนังฮีโรในแบบฉบับของ Marvel ได้อย่างครบถ้วน แต่นอกจากหนังเรื่องนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญของการเดินทางสู่มัลติเวิร์สอย่างเต็มตัวแล้ว หนังเรื่องนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นหนังที่แฟนบอย สไปเดอร์-แมนไปดูยังไงก็ไม่ผิดหวังครับ เพราะนอกจากเรื่องราวที่โตขึ้นและการที่เราจะได้เห็นพัฒนาการ และจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อชีวิตของปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ที่กลายเป็นซูเปอร์ฮีโรแบบเต็มตัว และเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนมาก ๆ

และไม่ว่าคุณจะมีพื้นเพเกี่ยวกับคอมิกส์มาก่อนหรือไม่ คุณอาจจะชื่นชอบหรือขัดใจหนังสไปเดอร์-แมนเวอร์ชันดั้งเดิมขนาดไหน หรืออาจจะแค่ต้องการดูหนังแอ็กชันมัน ๆ ในช่วงวันหยุดปีใหม่ หนังเรื่องนี้ก็เรียกได้ว่าตอบโจทย์ได้หมด ทั้งมุกฮาจังหวะนรก เรื่องราวดราม่าสุดสะเทือนใจจนน้ำตาซึม และเซอร์ไพรส์ชวนกรี๊ดที่สปอยล์ไม่ได้แม้แต่สักแอะ เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นการเปิดฉากสู่มัลติเวิร์สอย่างเต็มตัว ที่ต่อให้จะเป็นแฟนบอย หรือไม่ใช่ก็ตาม ก็น่าจะได้ฮาแตก เฮลั่น น้ำตาไหล อ้าปากค้างไปกับเซอร์​ไพรส์มากมาย แต่ว่าต้องเข้าไปดูในโรงเท่านั้นนะครับ ถึงจะได้ความรู้สึกนี้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย อ่านหรือดูสปอยล์ยังไงก็สู้ไม่ได้หรอก

 

 

ทุกภาคที่ผ่านมาหนังสไปเดอร์แมนจะมีความเป็น Coming-of-age หรือหนังก้าวผ่านวัยอยู่ตลอด และในภาคนี้มันคืออีกระดับของการก้าวผ่านวัยหนังมันโตขึ้นจริงๆ ทั้งองค์ประกอบบทและ การดำเนินเรื่องต่างๆ ทำให้หนังเรื่องนี้มันสามารถให้เอาคนดูอยู่มากอยากเอาใจช่วยและติดตามทุกการกระทำของ Peter Parker ในฐานะ Spider-Man ทั้งพาร์ทดราม่าเอยพาร์ทโรแมนติกเอยทำได้ดีจริงๆ กลมกล่อมครบรส ครบอารมณ์มากถึงแม้หนังจะความยาว 2 ชั่วโมงเกือบครึ่งแต่ไม่มีส่วนไหนหรือจุดไหนที่รู้สึกว่ายืดหรือน่าเบื่อเลย เล่าเรื่องได้สนุกน่าติดตามจริงๆ ดูหนังออนไลน์ 4k