รีวิว Deadpool 2

 

 

หนังใหม่ ถ้าคำว่า “เกรียนโคตรมหาประลัย” ไม่ได้ถูกเอาไปใช้เป็นชื่อไทยให้กับ Kick-Ass ไปแล้วล่ะก็… Deadpool 2 นี่เลย เหมาะมาก !

เนื้อเรื่องในภาคนี้ไม่มีอะไรให้เล่าเยอะ เอาเป็นว่า ทานอส เอ๊ย เคเบิล นักฆ่าจากโลกอนาคตเดินทางข้ามเวลามาเพื่อตามล่าเด็กอ้วนชอบวอนหาเรื่องชื่อ รัสเซล ซึ่งถ้าดูหนังไปนิดก็เดาไม่ยากเท่าไหร่ว่าทำไมต้องย้อนเวลามาตามล่ารัสเซล ก็เลยเป็นเหตุให้ Deadpool ต้องเปิดรับสมัครพรรคพวกที่จะมาสู้กับเคเบิล โดยรวมๆ เนื้อหาก็มีอยู่ประมาณนี้แหละ ที่เหลือก็เป็นการยิงมุกเกรียนๆ ชนิดที่ว่าเอาให้สมกับความคาดหวังของคนดูเต็มที่ ซึ่งก็สมใจตามที่คาดไว้จากที่เห็นหนังตัวอย่างจริงๆ

 

รีวิว Deadpool 2

 

สำหรับคนที่จะตีตั๋วเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ถ้าคาดหวังจะเจอเอฟเฟ็คอลังการบ้านเมืองพินาศแบบอเวนเจอร์นี่ ก็คงจะต้องผิดหวัง เพราะมันไม่มีอินฟินิตี้สโตนในเรื่องนี้ แอ็คชั่นส่วนใหญ่เลยมาแนวถึงเนื้อถึงตัวแบบเดียวกับแค้นคนฆ่าหมามากกว่า ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงเพราะได้ เดวิด ลีทช์ จาก Atomic Blonde มาคุม เลยเน้นหักแขน หักขา เสียบๆๆ มากกว่า

ตัวละครในภาคนี้แม้ว่าจะเห็นหนังตัวอย่างแล้วจะดูเยอะกว่าภาคแรก แต่ก็ยังคงเป็น Deadpool ที่เด่นสุด (ก็หนังมันชื่อ Deadpool ไม่ใช่ X-Men) ส่วนสมัครพรรคพวกที่รวมตัวกันมาสู้กับเคเบิลก็ได้รับแจกบทกันคนละนิดหน่อย มีแม่สาว “โดมิโน” ที่อ้างว่าพลังพิเศษของตัวเองคือ “ดวง” นี่แหละที่เด่นกว่าพรรคพวกที่เหลือ

มุกตลกหรือจะเรียกว่าความปากหมาของ Deadpool ก็แล้วแต่ ถูกยิงออกมาเรื่อยๆ แทบจะทุกนาที ส่วนใหญ่ก็ไม่แป้ก แต่ก็ไม่ถึงขั้นขำเป็นวรรคเป็นเวร ถ้ามันจะมีเหตุผลให้ไม่ตลก ก็คือเพราะมันพาดพิงไปถึงหนังหลายๆ เรื่อง ซึ่งถ้าไม่ดูหนังซูเปอร์ฮีโร่มาอย่างโชกโชนในระดับหนึ่งแล้ว ก็อาจจะไม่เก็ทมุก เอาแค่ไตเติลเปิดตัวที่ได้ เซลีน ดิออน มาร้องเพลงก็ทำมาแนวเดียวกับ เจมส์ บอนด์ แล้ว

 

รีวิว Deadpool 2

 

End Credit เนี่ยแหละที่แบบว่าสะใจดีจริงๆ มันเล่นกับจุดที่คนดูหลายๆ คนคาใจมานานแล้ว รับรองได้เลยว่าไม่ได้แค่โผล่มายียวนกวนประสาทคนดูแบบภาคแรก

โดยสรุปเป็นหนังแอ็คชั่นครึ่งหนึ่ง และตลกแบบเกรียนๆ ครึ่งหนึ่ง แม้ว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้ที่เน้นการสร้างมิตรภาพและความเชื่อใจกับเพื่อนๆ จะดูเบาและไม่ค่อยเข้ากับคาแร็คเตอร์ของ Deadpool เมื่อเทียบกับภาคแรกที่แก่นของเรื่องคือการคิดบัญชีกับศัตรูเก่า แต่โดยรวมๆ ตัวหนังก็ยังตอบสนองความคาดหวังของคนดูที่ต้องการซูเปอร์ฮีโร่ หรือกระทั่งแอนตี้ฮีโร่ที่แปลกใหม่ ได้เต็มๆ

 

รีวิว Deadpool 2

Deadpool มีพลังพิเศษ (นับเป็นพลังพิเศษไหม?) ที่หยั่งรู้ว่าตัวเองเป็นตัวละคร เลยพูดคุยกับคนดูได้ และแขวะหนังเรื่องอื่นๆ ได้ อย่างที่เห็นในหนังตัวอย่างก็คือแขวะตัวร้ายประจำภาคอย่าง “เคเบิล” ว่า เอ็งนี่โคตรดาร์กเลย แน่ใจนะว่าไม่ได้มาจากจักรวาลดีซี

ไรอัน เรย์โนลด์ เคยรับบทเป็น Deadpool มาก่อน (แต่ไม่ได้ใส่ชุดแดงรัดติ้ว) ใน X-Men Origins: Wolverine (2009) หลังจากนั้นพี่แกก็เกิดติดใจในบทนี้ จนผลักดันสร้างเป็นหนังเดี่ยวของตัวเองได้สำเร็จในอีก 6 ปี ต่อมา ซึ่งในระหว่างนั้นพี่แกก็เผลอใจไปเล่นเป็นซูเปอร์ฮีโร่ชุดเขียวของค่ายดีซีอย่าง “กรีน แลนเทิร์น” ที่แป้กสุดๆ ทั้งรายได้และคำวิจารณ์ เจ็บฝังใจขนาดที่พี่แกเอามาเป็นมุกแขวะตัวในเองใน Deadpool ภาคแรก และแน่นอนว่าในภาค 2 นี้ก็เช่นเดียวกัน

 

รีวิว Deadpool 2

 

หลังโชว์เกรียนในภาคแรกจนสร้างฐานแฟนคลับแอนตี้ฮีโร่สายฮา ดาร์กๆ  DEADPOOL  ก็กลับมาพร้อมภารกิจใหม่ที่เราขอเล่าแบบหลวมๆว่า ภาคนี้พี่แกต้องไปปกป้องหนุ่มน้อยสุดตุ้ยนุ้ยอย่าง รัสเซล (จูเลียน เดนิสสัน) ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของ เคเบิล (จอช โบรลิน) มือสังหารที่ย้อนเวลากลับมาเพื่อแก้แค้นให้ครอบครัวของเขา แม้ภายนอก DEADPOOL จะทำตัวไม่สนโลกแต่ลึกๆความรักที่เขามีให้ วาเนสซา (โมเรนา บาคาริน) ก็ช่วยให้หัวใจของเขาอยู่ถูกที่เสียที

บอกก่อนนะว่าเรื่องย่อที่ได้อ่านไป แอดแอบซ่อนความลับบางอย่างของหนังเพราะไม่อยากสปอยล์เลยจริงๆ เพราะความลับที่ว่ามันทำให้หนังดู กล้าหาญมากที่ฆ่าตัวละครสำคัญของเรื่องไปตั้งแต่ องก์ 1 ของหนัง แต่หลังจากนั้น  DEADPOOL กลับเดินเรื่องแบบทีเล่นทีจริงที่หนักข้อถึงขั้นเอาตัวเองไปเปรียบกับ LOGAN (2017) หนังวูล์ฟเวอรีนฉบับดราม่าที่ฆ่าตัวละครซูเปอร์ฮีโร่แบบตายจริงๆ และตัว DEADPOOL

 

 

เองก็เริ่มมองความอมตะของตัวเองเป็นคำสาป ซึ่งไม่เพียงเจืออารมณ์โรแมนติกไปปนกับพลอตหนังแอ็คชั่น ฮาลั่น เลือดสาด เป็นน้ำจิ้มหวานๆเท่านั้น แต่หลายครั้งเมื่อหนังเริ่มล้อชาวบ้านแบบเตลิดเปิดเปิง มันยังช่วยดึงให้คนดูกลับมาสู่เรื่องราวได้เป็นอย่างดี แม้ท้ายที่สุดอารมณ์ดราม่าของหนังจะไม่ได้จริงจังเท่าฉากแอ็คชั่นโหด เลือดสาด หัวหลุด แขนขาด ตัวกระเด็น หรือบทสนทนาที่เขียนมาเพื่อแขวะชาวบ้านมากกว่าเล่าเรื่องก็ตาม

ส่วนใครที่ติดใจมุกจิกกัดหนังฮอลลีวูดและความเกรียนแสบ ภาคนี้ DEADPOOL ก็เล่นเสิร์ฟความแสบเสียเต็มที่ทั้งมุกล้อหนัง Marvel ทั้งจักรวาล X-MEN และ MCU รวมถึง Disney แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม (Disney เพิ่งซื้อกิจการของ FOX สตูดิโอที่สร้าง DEADPOOL) แม้แต่ค่าย DC ที่ต้องบอกว่า DEADPOOL จัดหนักจัดเต็มตั้งแต่ล้อกิมมิคหนัง Batman V Superman (2016)

 

 

เรื่อยไปจนถึงเอนด์เครดิตที่เล่นกับความสัมพันธ์ระหว่างฮีโร่สองค่ายผ่านนักแสดงอย่างไรอัน เรย์โนลด์ ได้อย่างแสบสันต์ นอกจากนี้ยังมีมุกแซวและอ้างอิงหนังคลาสสิกต่างๆอีกเพียบทั้งไตเติลของ เจมส์ บอนด์ 007 ฉากปรากฏตัวของ เคเบิล ที่อ้างอิงมาจากหนังคนเหล็ก  Terminator (1984) หรือฉาก Boombox Serenade ที่จอห์น คูแซค ยกวิทยุเปิดเพลงให้นางเอกฟังใน Say Anything (1989)ก็ถูกนำมาอ้างอิงและล้อเลียนไปตลอดเรื่อง

จนบางทียังแอบคิดเลยว่านี่เราดู DEADPOOL หรือ หนังล้อตระกูล Scary Movie อยู่กันแน่ ซึ่งแม้แสดงให้เห็นถึงความสร้างสรรค์แต่ก็แอบทิ้งช่องโหว่ของพลอตไว้รายทางเพียบเลยเหมือนกัน แต่เชื่อว่าอารมณ์คนดูที่คุ้นเคยกับ DEADPOOL มาตั้งแต่ภาคแรกก็ไม่น่าจะสะดุดอะไร

นอกเหนือจากความกวนโอ้ย กวนประสาทของฮีโร่จอมกวนตีนอย่างเดดพูลแล้ว หนังภาคที่ 2 นี้อาจจะดูเหลวไหลไร้สาระตามประสา ยังไม่รวมไปถึงความปากหมาที่เที่ยวแซวหนังเรื่องอื่นไปทั่วทุกสตูดิโอ Deadpool 2 ยังมีโครงสร้างบางอย่างที่น่าสนใจ อ่อลืมบอกไปว่าผู้เขียนติดความกวนประสาทของเดดพูลมาเล็กน้อย แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เมื่อคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว โปรดจงรับรู้ว่า ย่อหน้าต่อไปกำลังจะมีการสปอยล์หนัง

 

 

เอาล่ะ อันที่จริงหนังก็ทำให้เราเห็นตั้งแต่ฉากแรกเลยล่ะ ว่าเวด วิลสัน (ไรอัน เรย์โนลด์ส) นั้นกำลังเจ็บปวดจากความรักในเลเวลที่เขาเลือกจะจุดระเบิดให้ตัวเองร่างแหลกสลายเป็นชิ้นๆเพื่อ “ตายตาม” คนรักวาเนสซ่า (โมรีนา แบคคาริน) ซึ่งถูกมือปืนสังหารอย่างไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความตรอมใจเดดพูลจึงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่ในเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย เขาได้รับการช่วยชีวิตให้กลับมามีลมหายใจอีกครั้งโดย โคลอสซัส (พากย์โดย อังเดร ทริโคเท็กซ์)

การกลับมีชีวิตในครั้งที่ 2 เดดพูลถูกดึงไปร่วมกลุ่มเอ็กซ์เมน ในการไปช่วยเหลือเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์วัยรุ่นที่กำลังสับสนและก่ออาชญากรรมโดยไม่ได้ตั้งใจ เดดพูลจึงได้พบกับ รัสเซล / ไฟร์เออร์ฟิสต์ (จูเลียน เดนนิสัน) เด็กอ้วนที่ก่อปัญหาเพราะเขาโดนทารุณกรรมในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่แล้วความความคะนองมือส่งผลให้เดดพูลและรัสเซลถูกส่งตัวไปยังคุกจองจำมนุษย์กลายพันธุ์

ระหว่างที่อยู่ในคุก เดดพูลถูกโจมตีจาก เคเบิ้ล(จอช โบรลิน) มนุษย์กลายพันธุ์ที่ย้อนเวลามาจากอนาคต เพื่อเดินทางมาสังหารรัสเซล เพราะในอนาคตนั้นรัสเซลได้กลายเป็นบุคคลที่สังหารภรรยาและลูกสาวของเขาไป ถ้าหากเคเบิ้ลสามารถจัดการต้นตอของปัญหาได้ลูกเมียของเขาก็จะยังมีชีวิตอยู่

 

 

จะเห็นว่าได้ปมประเด็นสำคัญของหนังภาคนี้ พยายามโฟกัสไปที่ตัวละครผู้ชาย 2 ตัวไม่ว่าจะเป็นเดดพูลที่ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียของแฟนตัวเอง จนเขาหม่นเศร้ากับชีวิตจนอยากจะตายตามแฟนตัวเองไป ไม่ว่าวิธีใดก็วิธีหนึ่งและในหนังภาคนี้เมื่อเราดูดีๆแล้วเขาพยายามจะตายหลายหนเหลือเกิน เช่นเดียวกับตัวละครอย่างเคเบิ้ลที่เปลี่ยนความเศร้าโศกเป็นความแค้นในการหาวิธีเรียกชีวิตของที่เขารักให้กลับคืนมา

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่วิธีการเยียวยาความรักของ “ผู้ชาย” สองคนนี้เลือกจะหาทางออกในวิถีที่แตกต่างกันออกไป ในไคลแมกซ์ของเรื่องที่เดดพูลเลือกจะจบชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องรัสเซลนั้น อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกว่าวิธีการเช่นนั้นคือการ รับกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว คือได้ช่วยชีวิตและปลิดชีวิตตนเองเพื่อไปหาคนรักในยมโลก แต่ท้ายที่สุดแล้วหนังก็มีทางออกที่ดีกว่า ที่ว่าบางครั้งเราอาจจะไม่จำเป็นต้องเยียวยาความรักและความสิ้นหวังด้วยวิถีแห่งความสูญเสียเสมอไป เพราะมันมีทางออกที่ดีกว่านั้น หากใช้ปัญญาและใช้สติอย่างถี่ถ้วนในการแก้ปัญหานั่นเอง ดูหนังใหม่

หลังจากประสบความสำเร็จกับความกวนบาทา และความเกรียนของฮีโร่ปากหมานหน้าปรุในชุดแดงรัดติ้วที่ชื่อ “เดดพูล” เมื่อสองปีก่อน คราวนี้เขากลับมาพร้อมกับความยียวนกวนประสาทที่มากขึ้น เล่นสเกลใหญ่ขึ้น และการรวมทีม X-Force รวมไปถึงศัตรูใหม่ กับภาคต่อที่มีชื่อว่า “Deadpool 2″

 

Deadpool 2

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องของเดดพูลในภาคนี้ ไม่มีอะไรยากซับซ้อนนัก เล่าง่ายๆ ภาคนี้ เดดพูลต้องรวมทีมมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยตัวเอง เพื่อทำภารกิจคุ้มกัน “รัสเซล”(Russell) มิวแตนท์เด็กลึกลับให้พ้นจากการตามล่าของนักรบผู้ข้ามกาลเวลาอย่าง “เคเบิล” เล่าได้เท่านี้ ถ้ามากกว่านี้คือสปอยล์ละครับ

“รัสเซล”(Russell) มิวแตนท์เด็กที่มีความสามารถในการใช้ไฟ (Pyrokinesis) สามารถระเบิดทุกสิ่ง เผาไหม้ทุกอย่างได้ตามต้องการ

ยักษ์เหล็กล่ำบึ๊กบึกบึนแต่สมองไม่ไวต่อความเกรียนของเดดพูล  ร่างกายเป็นเหล็กตันทนแรงแถมทนแดดทนฝน  ที่ไม่มีปัญหาเรื่องสนิมเกาะอย่างแน่นอน แต่จุดอ่อนของพี่แกก็มีนะ  อยู่ตรง“เป้ากางเกง” นั่นละ

ชายธรรมดาๆว่างงานวัยกลางคน ที่เห็นประกาศโฆษณารับคนเข้าทีม X-Force ของเดดพูล จึงมาลองสมัครเผื่อฟลุค และเดดพูลก็รับเขามาร่วมทีมจริงๆ…

วายร้ายของภาคนี้ ตัวละครจากซีรีส์ X-MEN ที่เป็นลูกชายของ ไซคลอปส์ กับ แมดเดอลีน ไพรเออร์ ที่เป็นร่างโคลนของ จีน เกรย์ มีความสามารถในการหายตัวข้ามมิติของเวลาได้

ต้องเตือนกันแรงๆก่อนชม หนังฮีโร่เรื่องนี้ “ไม่เหมาะกับเด็ก และเยาวชนทุกประการ” ทั้งตัวหนังที่พกพาความรุนแรงระดับ”ไส้ทะลัก” หรือ “การใช้ภาษาที่สบถแจกฟักแกงกันค่อนเรื่อง” ทำให้หนังมีเรทผู้ชมอยู่ในระดับผู้ใหญ่ และเมื่อมันเป็นหนังผู้ใหญ่ เราจะเห็นภาพของ”เดดพูล” ฮีโร่ปากมากออกแอคชั่นไล่ล่าฆ่าวายร้ายในเรื่องแบบถึงเลือดถึงเนื้อตั้งแต่เปิดเรื่องกันเลย แน่นอนว่าเป็นฝีมือของผู้กำกับหนัง David Leitch ที่คงซิกเนเจอร์ของ John Wick  ด้วยการสาดฉากแอคชั่นที่ทื่อๆ ดุดัน ดูเพลิน ออกไปทางหนังยุค 80 ซักหน่อย อ่อ…ใช่ ฟิลลิ่งออกไปทาง Terminator 2 ของ เจมส์ คาเมรอน นั่นละครับ

 

 

ในส่วนของเนื้อหา “ต่อเนื่องกับภาคที่แล้วอย่างชัดเจน” (บอกเท่านี้พอ 555+) ซึ่งมันเล่าดีมาก เราจะเห็นเดดพูลในอีกมุมที่ดำดิ่งเข้มข้นกว่าเดิม เป็นตัวตนของฮีโร่คนนี้มากกว่าเดิม  และในภาคนี้ ตอกย้ำถึงภาพรวมในจักรวาลมาร์เวลฟ๊อกซ์ (Marvel 20th Fox)  ด้วยบทบาทของ “ทีม X-Men” ที่มีกันแค่สองสามตัว (โคโลซัส / เนกาโซนิค บลาๆๆๆ ชื่อยาว ข้ามๆไป กับอีหมวยซามูไรหัวม่วง) แม้ว่าจะไม่ใช่ชุดคนกลายพันธุ์ชุดใหญ่ แต่เชื่อเถอะว่า แค่ตัวละครเอ็กซ์เมนแค่สองสามตัว เอาเนื้อเรื่องอยู่หมัด และไม่รู้สึกแปลกแยก แถมดูสนุกด้วย

และทวีความตึงเครียด ด้วยการมาของ “เคเบิ้ล” วายร้ายของภาค 2 ที่ต้องบอกว่า “แม้เราจะรู้บทสรุปของตัวละครดังกล่าวทันทีี่เห็นหน้า” แต่เชื่อเถอะ เคเบิ้ล คือตัวสีสันมันส์ๆห่ามๆในเรื่องเช่นกัน…ส่วน ทีม X-Force ในเรื่อง ก็จัดว่าเป็นสีสันที่สำคัญ ตัวละครเหล่านี้ “ทำเอาแอดมินขำเหมือนคนบ้าในโรงหนัง” กันเลย แต่บทจะเทไปทางตัวละคร “โดมิโน” ซะเยอะ และแน่นอนว่า “นางมาเหนือจริงๆ” ดูหนังฟรี

อีกส่วนที่ขอยกเครดิตให้เป็นการส่วนตัวก็คือ “เสียงพากย์ไทย” ที่พากย์ออกมาได้แบบสนุก เพลินๆเลย  มีการชงมุกตบมุก และปรับบทสนทนาให้เข้ากับบริบทคนไทยให้เข้าใจง่ายขึ้น ต้องบอกก่อนว่าตัวละครเดดพูล มีความเป็นโอตาคุฝรั่งสูงมาก ทุกมุกที่พ่นออกมา ส่วนมากมาจากในหนังเก่าๆ การ์ตูนเก่าๆ หรือบทจิกกัดต่างๆ (รวมไปถึงคำหยาบระดับด่าพ่อล่อแม่) ถ้าคนที่ไม่ได้เสพงาน Pop Culture มากๆ อาจจะไม่เก็ตมุกได้ ซึ่งเวอร์ชั่นพากย์ไทย เราอาจจะไม่ได้ยินเสียงกวนๆของ “ไรอัล เรย์โนลบด์” แต่ขอให้วางใจได้ว่า “คุณติ่ง สุภาพ ไชยวิสุทธิกุล” ก็ทำออกมาลื่นไหล และทำเอาแอดมินเชื่อเลยว่า เออ เดดพูลพูดไทยเป็นต่อยหอยจนน่ารำคาญไปเลย อันยนี้ส่วนตัว และขอเห็นต่างจากสายซาวนด์แทรคไปหน่อยละกัน!