รีวิว jurassic world dominion

 

 

หนังใหม่ เป็นการกลับมาอีกครั้งของภาคใหม่ในแฟรนไชส์จูราสสิค เป็นหนังที่ปิดไตรภาคและเป็นบทสรุปของ Jurassic World โดยสำหรับ “Jurassic World Dominion” ก็ถือว่าเป็นการขยับขยายโลกของไดโนเสาร์ให้กว้างขึ้น ค่อนข้างเล่นใหญ่มากขึ้นและสเกลใหญ่ขึ้น ซึ่งก็จะสานต่อจากเรื่องราวจากภาคก่อนหน้าอย่าง “Jurassic World: Fallen Kingdom” ที่ไดโนเสาร์ได้หลุดออกมาสู่โลกมนุษย์และทำให้มนุษย์ต้องปรับตัวเข้ากับไดโนเสาร์ ส่วนที่ไปดูแล้วในโรงภาพยนตร์ก็จะมาบอกเล่าถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้ดูไป

สำหรับภาคนี้ถือว่ายังทำออกมาได้สนุกเพลิดเพลินดี ถ้าหากเทียบกับภาคที่แล้วอย่าง Jurassic World: Fallen Kingdom ภาคนี้ถือว่าทำได้ออกมาสนุกกว่าและไม่ค่อยจืดมากเหมือนภาคก่อน ซึ่งภาคนี้ก็เปรียบเป็นเหมือนสวนสนุกอีกเรื่องที่คนดูน่าจะสนุกอิ่มเอมในฐานะหนังที่ชวนปล่อยใจและสนุกกับความเว่อร์วังอลังการ ช่วงแรกเครื่องติดนานไปหน่อย เพราะค่อนข้างปูเรื่องนานและเล่ารายละเอียดเยอะ พอเริ่มเปิดซีนแอ็คชั่นตั้งแต่กลางเรื่อง หนังก็สามารถพยุงให้ออกมาสนุกเพลิดเพลินได้จนจบ พอกลบข้อเสียในส่วนเนื้อเรื่องอยู่ได้บ้าง

 

รีวิว jurassic world dominion

 

หนังดีไซน์ซีนแอ็คชั่นระทึกขวัญได้ชวนลุ้นและสนุกกำลังดี โดยเฉพาะครึ่งหลังที่จัดหนักจัดเต็มในความระทึกขวัญและชวนลุ้นจิกเบาะ ซึ่งส่วนนึงการที่ดูในโรง Dolby Atmos มันก็เติมเต็มงานเสียงให้หนังกระหึ่มและยิ่งใหญ่มากขึ้นสำหรับเรา ไดโนเสาร์ก็จัดมาแบบอิ่มเอมถ้วนหน้าตลอดทั้งเรื่อง มีการทรีบิวต์หรือแสดงความเคารพต่อภาคแรกในหลายๆซีนที่พอทำให้หายคิดถึงแบบหอมปากหอมคอ ส่วนสิ่งที่น่าประทับใจคือการได้นักแสดงรุ่นเก่าและการโคจรกันของทั้ง 2 รุ่นที่สร้างความอบอุ่นและอิ่มใจ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันมันก็ยังมีปัญหาใหญ่ ซึ่งยังคงเป็นจุดเดิมๆที่เป็นเหมือนภาคก่อนหน้าทั้งตัวเรื่องราวและประเด็นที่ยังคงใช้สูตรเดิมและเล่าซ้ำไปมา ทั้งเรื่องของความพยายามของมนุษย์ที่อยากจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่สุดท้ายผลลัพธ์กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยประเด็นนี้ก็จะรู้สึกว่าพอมันเล่าซ้ำและผ่านหูผ่านตาคนดูมาหลายครั้ง เลยไม่ได้ให้ความแปลกใหม่และมิติอะไรเพิ่มมากขึ้น ส่วนตัวละครในหนังเราจะรู้สึกเสียดายเช่นกันที่ยังคงมาด้วยความเบาบางแบบภาคก่อน เคมีความสนุกค่อนข้างลดฮวบไปจากภาคก่อนหน้ามาก แต่ความดีงามของตัวละครเก่าที่กลับจากภาค Jurassic Park ก็ยังคงให้หนังดูมีชีวิตชีวาอยู่บ้างเช่นกัน

 

รีวิว jurassic world dominion

 

แต่ใด ๆ ก็จะแอบเสียดายที่ว่าหนังภาคนี้ไม่ได้เป็นหนังที่ปิดไตรภาค Jurassic World ได้สมน้ำสมเนื้อเท่าไรนัก เป็นหนังที่มีภารกิจและปมปัญหาให้ตัวละครเดินไปข้างหน้าไม่ต่างจากหนังในแฟรนไชส์เรื่องก่อนหน้า เนื้อเรื่องก็มีบทสรุปตามสูตร ตัวละครได้มาเจอกันระหว่างไตรภาคเก่าและใหม่ก็ยังออกมาได้ไม่แข็งแรงและไม่ได้น่าประทับใจมากนัก เหมือนครอบครัวมารวมญาติกันแล้วก็จากลากันตามมารยาท ไม่ได้จากลากอดกันกันแบบซาบซึ้งน้ำตาไหล ภาคนี้เลยเป็นแค่สวนสนุกที่ดูแล้วเพลิดเพลินดี จบแล้วจบก็ไปแบบไม่ได้ค้างคา แต่หากใครคาดหวังความสนุกแบบไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ดูแบบปล่อยใจและเอ็นจอยไปกับหนัง หนังเรื่องนี้ก็น่าจะมอบความเพลิดเพลินได้อย่างดีแบบไม่มากก็น้อยฮะ สำหรับผู้เขียนก็ให้คะแนนหนังเรื่องนี้ที่ 6/10

 

รีวิว jurassic world dominion

ที่กล่าวมาเป็นความคิดเห็นของผู้เขียน รสนิยมและความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยังไงก็ไปลองดูและพิสูจน์กันได้ หนังฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

หลังจากเหตุการณ์ กดปุ่ม’ ใน ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ (2018) ถือเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของบทสรุปไตรภาคไดโนเสาร์ครองโลกใน ‘Jurassic World Dominion’ (2022) หรือ ‘จูราสสิคเวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร’ ภาพยนตร์ภาคที่ 3 ของไตรภาคจูราสสิค เวิลด์ (Jurassic World) และภาพยนตร์ลำดับที่ 6 ในจักรวาลจูราสสิค นับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์ภาคแรก ‘Jurassic Park’ (1993) ออกฉายเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วโน่น

แต่กว่าที่น้องบลู และเหล่าไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิกจะได้กลับมาโลดแล่นกันในปีนี้ ตัวหนังก็ถือว่าต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากพอสมควร ทั้งกระแสจากภาคที่แล้ว ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ (2018) ผลงานการกำกับของ ‘เจ. เอ. บาโยนา’ (J. A. Bayona) ที่ได้คะแนนมะเขือเน่าจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes เพียงแค่ 47% ต่ำที่สุดในบรรดาแฟรนไชส์จูราสสิก พาร์ก แม้จะทำรายได้ค่อนข้างดี แต่พอออกทรงลูกผีลูกคนขนาดนี้ อาจารย์ปู่ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ (Steven Spielberg) Executive Producer เจ้าของแฟรนไชส์ เลยเรียกตัว ‘โคลิน เทรวอร์โรว์’ (Colin Trevorrow) ผู้กำกับจาก ‘Jurassic World’ (2015) กลับมากำกับในภาคนี้อีกครั้ง

 

รีวิว jurassic world dominion

 

อีกอุปสรรคใหญ่ยิ่งกว่าน้อนไดโนเสาร์กิแกนโนโตซอรัส (Giganotosaurus) ก็คือ ช่วงเดือนมีนาคม 2020 กองถ่ายต้องหยุดถ่ายทำทั้งที่เพิ่งเปิดกล้องไปได้แค่ 13 วัน เพราะการระบาดของโควิด-19 ทีมงานเลยต้องทำงานโพสต์โปรดักชัน และงานด้านวิชวลเอฟเฟกต์กับฟุตเทจที่ถ่ายมาได้ไปพลาง ๆ และจำต้องยอมเลื่อนกำหนดฉายจากเดิมที่วางแผนฉายในปี 2021 ออกไปอีก 1 ปีเต็ม หนังใหม่

สถานการณ์เริ่มคลี่คลายในเดือนกรกฏาคม 2020 ทางยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ (Universal Studios) จึงยอมควักเงินอีก 5 ล้านเหรียญสำหรับเซ็ตมาตรการความปลอดภัย ถือว่าเป็นกองถ่ายแรก ๆ ที่กลับมาเริ่มถ่ายทำอีกครั้งหลังการระบาดครั้งใหญ่ เริ่มตั้งแต่การร่างเอกสารคู่มือมาตรการจำนวนนับร้อยหน้า แจกให้กับนักแสดงและทีมงานทุกคน มีจุดตรวจคัดกรอง มีห้องฉุกเฉินในกองถ่ายกรณีพบผู้ติดเชื้อ นักแสดงและทีมงานจะต้องกักตัวในโรงแรมที่ยูนิเวอร์แซลเช่าไว้ทั้งอาคารเพื่อใช้เป็นบับเบิลที่ควบคุมอย่างเข้มงวด

 

 

สำหรับเรื่องย่อ ๆ ในภาคนี้ ก็จะเริ่มดำเนินเรื่อง 4 ปีให้หลังจาก ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ เกาะ ‘อิสลา นูบลาร์’ (Isla Nublar) ที่ตั้งดั้งเดิมของสวนสนุกจูราสสิก เวิลด์ ถูกทำลายเพราะถูกภูเขาไฟถล่ม ไดโนเสาร์ทั้งหลายถูกปล่อยออกสู่ธรรมชาติ (ตรงตามชื่อจูราสสิก เวิลด์ซะทีสินะ…) ‘โอเวน เกรดี’ (Chris Pratt) ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมไดโนเสาร์ ‘แคลร์ เดียริง’ (Bryce Dallas Howard) อดีตนักวิจัยไดโนเสาร์ และน้อง ‘เมซี ล็อกวูด’ (Isabella Sermon) ปลีกวิเวกอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านกลางป่าลึก

ส่วนน้องบลู ไดโนเสาร์แรปเตอร์สีน้ำเงิน ก็มีลูกแล้วด้วยตอนนี้ ในภาคนี้ ทั้งสามคนจึงต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาครองโลกอีกครั้งของไดโนเสาร์ที่กำลังจะกลายมาเป็นจุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารแทนมนุษย์ และเผชิญหน้ากับบริษัทไบโอซิน จีเนติกส์ (BioSyn Genetics) ที่สร้างภาพว่าเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่กำลังมีแผนจะเข้ามาหาประโยชน์จากไดโนเสาร์อยู่เบื้องหลัง โดยมี ‘อดัม แกรนต์’ (Sam Neill), ‘เอียน มัลคอล์ม’ (Jeff Goldblum)), ‘เอลลี แซตเลอร์’ (Laura Dern) และ ‘ดร. เฮนรี วู’ (BD Wong) แก๊งผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิก พาร์ค มาร่วมผจญภัยหาทางหยุดยั้งวิกฤติที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์

 

 

ตัวหนังในภาคนี้ถือว่าขยายสเกลแบบเล่นใหญ่เวอร์วังทุกภาคส่วนจริง ๆ ครับ ตั้งแต่ความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่งนักแสดงจากทั้งภาคเก่าภาคใหม่ พันธุ์ไดโนเสาร์ที่หลากหลายมากที่สุด และอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดจากนักบรรพชีวินวิทยาแล้วเรียบร้อย (ส่วนบางตัวนี่ก็อัปเกรดเกินเบอร์ไปหน่อยนะ) รวมทั้งการผสมผสานระหว่าง CGI กับหุ่นกลไกไดโนเสาร์เสมือนจริง หรือแอนิเมทรอนิกส์ (Animatronics) ที่นำมาใช้มากที่สุดในไตรภาคแล้ว รวมทั้งการถ่ายทำในหลาย ๆ โลเคชัน หลากภูมิประเทศจากทุกมุมโลก

 

jurassic world dominion

อีกจุดที่ถือว่าน่าสนใจก็คือ บทภาพยนตร์จากฝีมือของเทรวอร์โรว์และ ‘เอมิลี คาร์ไมเคิล’ (Emily Carmichael) ที่เคยร่วมปูทางด้วยการเขียนบทและกำกับหนังสั้นเรื่อง ‘Jurassic World: Battle at Big Rock’ (2019)* มาก่อนแล้ว ก็เลยทำให้มีวัตถุดิบที่เป็นประเด็นหลัก ๆ ของหนัง ที่จั่วหัวตอนเปิดเรื่องไว้แบบเข้ม ๆ และน่าสนใจ ทั้งการที่ไดโนเสาร์อยู่ร่วมกับธรรมชาติและมนุษย์ ที่ส่งผลต่อโลก ธรรมชาติ และวิถีชีวิตมนุษย์ในโลกยุคออนไลน์ราวกับโควิด-19 ก็มิปาน

รวมทั้งประเด็นการที่มนุษย์หาประโยชน์จากไดโนเสาร์ ที่คราวนี้ไม่ได้แค่เอาไปขายเป็นตัว ๆ แต่พยายามจะเอาเทคโนโลยีมาแอบอ้างหาประโยชน์ใหัตัวเอง และพยายามดัดแปลงไดโนเสาร์ให้มีคุณสมบัติอย่างที่ตัวเองต้องการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบโดยรวม ทำให้บางครั้ง มนุษย์ที่มักมองตัวเองเป็นผู้ล่า แต่จริง ๆ แล้วมนุษย์เองก็หลงลืมไปเหมือนกันว่า บางครั้งตัวมนุษย์เองนี่แหละก็ทำตัวเองให้กลายเป็นผู้ถูกล่าได้เหมือนกันนะ ดูหนังใหม่

 

 

ความเอาอยู่ของผู้กำกับอีกอย่างคือจังหวะการเล่าเรื่องที่ถือว่าสามารถคุมไดนามิกได้น่าสนใจครับ เป็นการอัปเกรดจากตัวหนังที่เคยเป็น Action Adventure ในเกาะปิดตาย แต่คราวนี้ตัวละครหลักจะได้ออกไป Adventure พบเจอกับงานด้าน Action ทั้งจากไดโนเสาร์และจากมนุษย์ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เรียกว่าตั้งแต่ต้นเรื่องก็ซัดแอ็กชันสับตีนแตกให้ได้ลุ้นกันแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนช้า และสับเกียร์เร่งเครื่องผ่อนช้าผ่อนเร็วไปตลอดเรื่อง

แถมยังผสมความสยองขวัญจากไดโนเสาร์ ที่ถือว่าเป็นเสน่ห์เฉพาะของแฟรนไชส์นี้เข้าไปด้วย แม้ตัวหนังจะพึ่งพาเทคนิค Jump Scare เยอะหน่อย แต่ก็ถือว่าวางจังหวะให้ได้สะดุ้งวาบได้รุนแรงกว่าภาคก่อน ๆ อย่างเห็นได้ชัดเลย แถมยังแอบใส่แฟนเซอร์วิสและมุกจาก Jurassic Park ภาคเก่า ๆ เอาไว้ให้สังเกต พร้อมกับงานด้านภาพที่ชวนว้าวในหลาย ๆ ช็อตทั้งหมดนี้ผู้กำกับสามารถคุมตัวหนังให้สนุก ตื่นเต้น เล่นใหญ่ ระทึกขวัญ และแก้ซ่อมจุดผิดพลาดจากสองภาคแรกได้ถือว่าค่อนข้างเอาอยู่เลยครับ

 

 

ส่วนในแง่ของนักแสดง ด้วยความที่ตัวนักแสดงมีค่อนข้างเยอะ ตัวเนื้อเรื่องก็เลยจะแบ่งเป็น 2 เส้นเรื่องโดยปริยาย ก่อนจะมาบรรจบกันในองก์สุดท้าย ด้วยวิธีนี้เองก็เลยทำให้ตัวละครจากฝั่งภาคเก่า และฝั่งภาคใหม่ดูมีภารกิจที่อิสระจากกัน ก่อนที่จะมาเจอกัน แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยตัวบทเองที่วางคาแรกเตอร์และปูมหลังของแต่ละตัวละครเอาไว้ชัดเจน ก็เลยไม่เกิดอาการแย่งซีนกัน ถือเป็นการแชร์สัดส่วนของบทบาทได้ออกมาลงตัวและน่าสนใจดีครับ นักแสดงจากภาคเก่าเองก็ยังคงคาแรกเตอร์จากหนังดั้งเดิมให้ได้เรียกยิ้ม ส่วนตัวละครใหม่เองก็มี Vibe ที่น่าสนใจกันทั้งนั้น

แต่เห็นเล่นใหญ่ใจโต และผู้กำกับมือถึงแบบนี้แต่ก็ใช่ว่าไม่มีข้อสังเกต เพราะแม้ช่วงครึ่งแรกของหนังจะน่าสนใจในแง่ของแอ็กชันไดโนเสาร์ในบรรยากาศธรรมชาติแบบเปิด และกลางเรื่องเองก็สามารถผลักให้กลายเป็นหนังแอ็กชันไล่ล่าสุดมันสุดระทึกน้อง ๆ ‘Mission: Impossible’ หรือ ‘Fast & Furious’ เลยแหละ หนังออนไลน์