รีวิว X-เม็น สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต

 

 

หนังไทยใหม่ หนังซูเปอร์ฮีโร่ในยุคนี้ คือ หนังที่ทำรายได้สูงสุดสำหรับแต่ละสตูดิโอ และ Marvel Studios ก็กลายเป็นเจ้าพ่อในวงการหนังยุคนี้ไปแทบจะในทันที ในช่วงหนึ่ง หนังของพวกเขากระจายไปในหลายๆ สตูดิโอยักษ์ และ X-Men ก็คือเรื่องหนึ่งในนั้น ซึ่งเป็น Twentieth Century Fox ที่ได้ไปทำ ยุคปัจจุบันคือช่วงของการรีบูทอีกครั้ง หลังประสบความสำเร็จกันไปกับภาคแรก ‘X-Men: First Class’ นี่จะเป็นภาคที่สอง

ในภาคที่แล้ว เราคงได้รู้ว่า จุดกำเนิดของสองขั้วของกลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์ที่เริ่มจะแตกแยกทางกันเดินนั้นเป็นอย่างไร ในภาคนี้ เราจะได้พบกับเรื่องราวที่ไปไกลกว่านั้นมาก อนาคตของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ช่างดูมืดมนและพวกเขาต้องรวมใจกันอีกครั้งเพื่อโอกาสสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะสูญพันธุ์ไปจริงๆ

 

รีวิว X-เม็น สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต

 

เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตส่งผลเกินคาดคิดต่อเหล่า mutant สิ่งที่พวกเขาพอจะทำได้ คือ การหยุดรบราฆ่าฟันกันเองแล้วกลับมารวมพลังเพื่อแก้ไขย้อนกลับไปในอดีต ก่อนที่พวกเขาจะแยกเหล่ากัน “โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์” (Patrick Stewart) กลับมาจับมือกับ “แม็กนีโต้” (Ian McKellen) อีกครั้ง เปลี่ยนแปลงอดีต ที่จะส่งผลถึงปัจจุบันและอนาคต

 

รีวิว X-เม็น สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต

 

ในเวลานั้น ยังมี “คิทตี้” (Ellen Page) มนุษย์กลายพันธุ์ผู้มีพลังเจาะทะลุมิติได้ แต่มนุษย์ที่จะย้อนกลับสู่อดีตอันแสนไกลไม่อาจทนการเดินทางแบบนั้นได้ เหลือเพียงมนุษย์กลายพันธุ์ผู้เกือบๆ จะอมตะอย่าง “วูล์ฟเวอรีน” (Hugh Jackman) เท่านั้นที่พอจะทำได้ และนั่นทำให้วูล์ฟเวอรีนจึงกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในภาคนี้

หนังพาเราไปรู้จักกับโลกในช่วงเวลาก่อนปัจจุบัน ในช่วงสองผู้นำแห่งมนุษย์กลายพันธุ์ยังเป็นเพียงหนุ่มผู้ยังไม่รู้ว่าอะไรที่ควรทำเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตนในอนาคต แต่ได้รับรู้แล้วว่า ใครคือผู้สร้างหุ่นเซนทิเนลขึ้นมาเพื่อให้มีอานุภาพเหนือกว่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งปวงโดยใช้ดีเอ็นเอของมนุษย์กลายพันธุ์คนหนึ่ง ซึ่งก็คือ

 

รีวิว X-เม็น สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต

เป็นการกลับมากำกับแฟรนไชส์ที่เขารักอีกครั้ง Bryan Singer หลังเคยสร้าง X-Men และ X2 เอาไว้เมื่อกาลก่อน ‘X-เม็น สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต’ พาเราไปพบกับการผจญภัยที่พร้อมจะพลิกผันได้ตลอดเวลา เรื่องราวที่ได้ทั้งลุ้นว่าพวกเขาจะทำมันสำเร็จหรือไม่ เมื่อโลกอนาคตที่พวกเขาจากมานั้นก็กำลังถูกตามล่าอยู่เช่นกัน และมันก็ยากจะคาดเดาว่ามันจะลงเอยอย่างใด หนังมันขมวดเอาเรื่องราวจากภาคต่างๆ ที่เคยผ่านตาเรามาซึ่งอาจจะช่องโหว่บางอย่างที่ไม่ลงรอยต่อกันเอาไว้ในภาคเดียว เพื่อทำให้จักรวาลของ X-Men จากทุกภาคกลายเป็นเรื่องเดียวกัน

นั่นหมายถึง ถ้าคุณดูภาคนี้แล้วก็อาจจะอยากจะกลับไปดูภาคเก่าๆ อีกครั้ง และนั่นหมายถึง ถ้าคุณเคยดูภาคเก่าๆ มาแล้วแต่หลงลืมมันไป อาจต้องกลับไปทบทวนความจำอีกครั้ง ก่อนจะมาดูภาคนี้ซึ่งจะยิ่งทำให้คุณเต็มอิ่มมากขึ้น

 

รีวิว X-เม็น สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต

 

มันกลายเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่รวบรวมคาแร็กเตอร์ของซูเปอร์ฮีโร่ไว้มากที่สุด แม้ว่าจะยังไงก็ตาม มันก็จะยังมี Wolverine เป็นตัวละครเด่นที่สุด และมี Charles Xavier กับ Magneto เป็นตัวละครที่ขาดไม่ได้ และยังคงมี Mystique เป็นตัวละครสำคัญอีกคำรบ

เรื่องราวของโลกปัจจุบันที่มนุษย์กลายพันธุ์คือความหวาดกลัวของมนุษย์ธรรม ทำให้ถูกตามล่าและจับกุม โดยกองกำลังหุ่นยนต์ยักษ์เซ็นติเนลของ โบลิวาร์ ทราสก์ (Trask Industries) ทำให้ความอยู่รอดของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์คือการส่งวูล์ฟเวอรีนย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ในอนาคต! ด้วยความสามารถของโปรเฟสเซอร์ X และได้รับความร่วมมือกับคู่ปรับตลอดกาล แม็กนีโต

 

 

การรวมตัวต่อสู้กับสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของเหล่าเอ็กซ์-เม็น เพื่อหาทางเอาตัวรอดจากสายพันธุ์ที่มีอายุข้ามสองยุคสมัยในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST เหล่าตัวละครโปรดจากภาพยนตร์ไตรภาค “X-Men” ต้นฉบับกลับมาผนึกกำลังร่วมกับตัวเองในอดีตจาก “X-Men: First Class” ในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงอดีตเพื่อรักษาอนาคตของเราไว้

ใน X-Men: Days of Future Past ว่าด้วยเรื่องอนาคตอีกทางหนึ่งของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ เมื่อพวกเขาเกิดขัดแย้งกันเอง จนถูกกลุ่มที่ต่อต้าน จ้องทำลายล้างพวกเขาทั้งหมด กำจัดไปทีละคน ๆ และนำมาสู่หายนะของโลก

เมื่อ คิตตี้ ไพรด์ ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของกลุ่ม ส่ง Wolverine เดินทางย้อนเวลา ทำให้เขาได้พบกับ Professor X, Rogue และ Magneto ในอดีต อย่างไรก็ดี การเดินทางข้ามเวลาครั้งนี้ มนุษย์กลายพันธุ์มองหาโอกาสพาโลแกนกลับมายังโลกอนาคตด้วย และเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ Rogue กลายมาเป็นกุญแจสำคัญของเรื่อง ดูหนังใหม่

 

 

เรื่องย่อ

เมื่อโลกอนาคตมนุษย์กลายพันธุ์หรือมิวแทนท์ต่างโดนกวาดล้างไปจนหมดจากหุ่นยนต์เซนติเนลที่ถูกสร้างขึ้นมาในอดีตเพื่อกำจัดพวกเขา ทำให้บรรดามนุษย์กลายพันธุ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ต่างต้องหาทางเอาชีวิตรอด พร้อมทั้งแก้ปัญหาโดยการให้ คิตตี้ ไพร์ด ที่มีความสามารถในโยกย้ายจิตใจคนไปยังอดีตได้ เลยเลือกส่งความหวังอย่าง วูลฟ์เวอรีน เพื่อกลับไปเตือนเหล่าสมาชิก X-Men ในอดีต เพื่อยับยั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นให้ได้

สำหรับ X-Men: Days of the Future Past นั้น จะเหมาะสำหรับคนที่ติดตามหนังชุด X-Men มาแล้วเกือบทุกภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 3 ภาคหลัก และภาค X-Men: First Class มาก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้งงกับทั้งตัวละครและเรื่องราวของหนังกันแน่ๆ เพราะภาคนี้มันค่อนข้างที่จะเชื่อมโยงและใช้เนื้อหามาจากภาคอื่นๆ เข้ามาเยอะ เพื่อจัดให้มันเป็นระเบียบขึ้น ซึ่งสำหรับคนที่ติดตามมาโดยตลอดอยู่แล้ว รับรองได้เลยว่านี่จะเป็นภาคที่คุณจะต้องหลงรักมันอย่างแน่นอน ไม่ว่าคุณจะชอบ X-Men ในเซตเก่า หรือใหม่มาก่อนก็ตาม

นับเป็นความชาญฉลาดของทีมผู้สร้าง ที่หลังจากหนังไตรภาคชุดแรกของ X-Men นั้นได้ทำลายตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยในภาค 3 จนกระทั่งต้องมีการสร้างภาค First Class ขึ้นมาใหม่ โดยย้อนกลับไปในสมัยที่ตัวละครยังเป็นวัยหนุ่มวัยสาวกันอยู่ พอมาถึงภาคนี้ ทีมงานเลยใช้โอกาสจากพล็อตเรื่อง Days of Future Past เอามาเป็นตัวจัดการความยุ่งเหยิงของ Timeline ที่เกิดขึ้นจากหนังชุดนี้ที่มีออกมาหลายๆ ภาค ให้มันกลายเป็นจักรวาลเดียวกัน โดยมีผู้กำกับที่ให้กำเนิดหนังชุดนี้อย่าง Bryan Singer กลับมากำกับจัดการหนังชุดนี้อีกครั้ง

 

X-เม็น สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต

ซึ่งก็นับว่ามันผ่านกระบวนการคิดมาเป็นอย่างดีมากๆ สำหรับการเขียนบทเชื่อมโยงเรื่องราวกันออกมาได้ขนาดนี้ แม้ว่ามันจะปิดช่องโหว่จากการยำใหญ่ของหลายๆ ภาค หลาๆย เรื่องราวอาจไม่ครบนัก แต่ในมุมของคนที่ดูแบบไม่คิดมาก ก็เรียกได้ว่ามันเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สามารถเชื่อมโยงทุกอย่างได้เป็นอย่างดีแล้ว อีกทั้งยังเป็นทั้งการที่เราได้ติดตามตัวละครชุดใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กับการร่ำลาตัวละครชุดเก่าที่เรานั้นหลงรักไปพร้อมๆ กัน และการทีไ่ด้เห็นพวกเขามาร่วมจอกันนั้นก็นับว่าเป็นอะไรที่ฟินมากๆ เท่าที่แฟน X-Men คนหนึ่งจะอยากเห็นแล้ว ซึ่งทีมดาราแต่ละคนก็ต่างยังพอมีพื้นที่ของตัวเองให้ได้โชว์ของกันอยู่มากมาย โดยที่ไม่ได้เน้นหนักไปแค่ความสัมพันธ์ของ Charles และ Eric ในแบบที่ภาคก่อนทำมา (แต่หลายคนก็บอกว่ากลายเป็นไปเน้นที่ตัว Mystic แทน)

ในส่วนของประเด็นเนื้อหาของเรื่องก็ยังมีอยู่ครบ ทั้งในเรื่องของการยอมรับความแตกต่างของตัวเองและของผู้อื่น ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราว จนไปถึงในส่วนที่เป็นการเมืองที่รัฐบาลมีแผนที่จะหาทางควบคุมมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้จนกลายเป็นเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในภาค อีกทั้งการมาได้พบกันระหว่างตัวละครในวัยแก่ที่ได้มาพบตัวเองในวัยหนุ่มอีกครั้ง มันก็เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนมุมของกันและกันจากตัวเองที่อยู่ในช่วงเวลาก็นับว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจดี จนนับว่าภาคนี้นับเป็นอีก X-Men ที่ดีมากๆ อีกเรื่องทั้งในแง่ความเป็นภาคที่มีเรื่องราวสนุกน่าสนใจเป็นของตัวเอง แถมยังเป็นการจัดการความยุ่งเหยิงในภาคต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีก

 

 

การรอคอยที่สุดแสนจะยาวนาน สุดท้ายก็สิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุด X-Men: Days of Future Past ภาพยนตร์ที่สาวกเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์รอคอยมานานก็ขึ้นฉายแล้ว และหนังก็ทำออกมาได้สุดยอดจนแฟนๆน้ำตาแทบไหล แก้ไขความผิดพลาดและประคองเฟรนไชร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่เจ๋งที่สุดขึ้นมาจากหลุมได้สำเร็จจนได้ และในวันนี้ เราจะมาพูดถึง 10 สุดยอดโมเมนต์จากในหนัง  ที่แฟน X-Men ต้องกรี๊ดกัน มีอะไรบ้าง คลิกเข้ามาอ่านด้านในเลย

ฉากต่อสู้เปิดเรื่อง

เป็นฉากเปิดเรื่องที่สุดยอดมาก อัดแน่นไปด้วยแอ็คชั่นที่ใครๆก็ต้องร้องว้าว เป็นการนำเสนอเนื้อหาและคาแร็คเตอร์ที่เจ๋งจริง เปิดตัวมิวแทนต์ตัวใหม่ๆ และยังแสดงพลังของศัตรูผู้หน้ากลัวอย่างหุ่น Sentinel ได้ดีมากด้วย

 

 

มิวแทนต์หน้าใหม่

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะยัดตัวละครกว่า 20 ตัวลงไปในหนังที่ยาว 130 นาที แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกระจายบทให้กับตัวละครทุกตัวได้อย่างเพียงพอและไม่มากจนชาชเกินไป Bryan Singer ผู้กำกับของเราก็ได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งกับ X-men ภาคใหม่นี้ โดยการเกลี่ยบทอย่างดีเยี่ยม วูล์ฟเวอรีนไม่ใช่ตัวละครที่เด่นอยู่ตัวเดียว คาแร็คเตอร์จาก First Class มีบทที่เด่นพอๆกัน มิวแทนต์หน้าใหม่ที่ได้เปิดตัวในภาคนี้ ถึงแม้บทจะไม่ได้เยอะอะไร แต่ว่าแต่ละคนก็ได้มีฉากต่อสู้เท่ๆ โมเมนต์แจ่มๆเป็นของตัวเองทุกราย โดยเฉพาะ Blink ที่เป็นตัวขโมยซีนอีกตัวเลยก็ว่าได้ ฟ่าน ปิงปิงเองก็ได้เซ็นสัญญาหนังเอ็กซ์เมนไว้ตั้ง 5 เรื่อง อนาคตของบลิ๊งค์ในจักรวาลมนุษย์กลายพันธุ์ยังไปได้อีกไกล ดูหนังฟรี